Home คลังหลอน เสลี่ยงเจ้านาง กับบริวารหัวขาด

เสลี่ยงเจ้านาง กับบริวารหัวขาด

เสลี่ยงเจ้านาง กับบริวารหัวขาด
เสลี่ยงเจ้านาง

เรื่องมันเกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนอยู่ปี 1 แต่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่มีใครลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้เลยสักคน

“ขบวนแห่เสลี่ยงเจ้านางน้อยและเจ้าเมืองเคลื่อนออกจากวังแต่เช้าตรู่ เจ้าเมืองไม่ได้บอกแก่เจ้านางน้อยว่าการเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์อื่นใด นอกจากจะพาไปเที่ยวชมป่า เจ้านางน้อยจึงคลายใจ และอยู่ในอารมณ์ร่าเริงสดใสตามวัยของนาง นางยังคงพูดจาหยอกล้อเล่นกับหนานอิน ทาสหามเสลี่ยงที่นางแอบคบหาในฐานะคนรักตามปกติ หนานอินเองก็ดูมีความสุขและ ดูร่าเริงเช่นเดียวกัน ทั้งคู่สบายใจขึ้นมากหลังจากที่ได้สารภาพความจริงต่อเจ้าเมืองไปแล้วว่ามีใจ ให้กันมานาน แต่เจ้าเมืองกลับไม่ได้ด่าทอลงโทษหรือแสดงอาการไม่พอใจอย่างอื่น

ทั้ง สองหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเมืองเจ็บแค้นและอับอายมาก เพราะแต่เดิมหมายใจให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนที่มีชาติตระกูลสูงทัดเทียมกัน ที่ได้จัดเตรียมเจรจาเอาไว้ แต่จู่ๆ เจ้านางน้อยกลับร้องห่มร้องไห้ ไม่ยอมแต่งกับคนที่พ่อแม่มองให้ กลับมาใฝ่ต่ำลักลอบมีความสัมพันธ์กับทาสหามเสลี่ยงสกปรกอย่างไอ้หนานอิน

เจ้า เมืองเก็บอาการคับแค้นใจไว้ พยายามเกลี้ยกล่อมเจ้านางน้อยให้รับฟังเหตุผลและความเหมาะสม แต่เป็นตายอย่างไรเจ้านางน้อยก็ไม่ยอมรับฟังซ้ำขู่จะฆ่าตัวตาย เจ้าเมืองเลยวางอุบาย หลอกพาเจ้านางน้อยและทาสหนานอินออกไปเที่ยวป่า

เมื่อ ถึงกลางป่าลึก เจ้าเมืองก็ให้ลูกน้องคู่ใจ เรียกหนานอินให้ออกไปกู้แร้วในป่าลึกตามแผนเพื่อลอบฆ่า แต่เจ้านางน้อยเกิดเอะใจรู้ทันจึงร้องห้าม หนานอินจึงไม่ยอมไป เจ้าเมืองเห็นเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ จึงโมโห มีปากเสียงกับเจ้านางน้อยอย่างรุนแรง ยิ่งเจ้านางน้อยยื่นคำขาด ว่าชาตินี้ถ้าไม่ได้กับหนานอินก็จะไม่ยอมแต่งงานกับใคร เจ้าเมืองก็บันดาลโทสะ ให้บริวารที่ตามมา จับหนานอินตัดคอจนขาดกระเด็นต่อหน้าต่อตาเจ้านางน้อย

เจ้า นางน้อยตกใจจนนิ่งอึ้งไป เจ้าเมืองได้สติและตกใจกลัวว่าเจ้านางน้อยจะเสียใจจนฆ่าตัวตายตามคำขู่ พยายามปลอบใจว่าต่อไปนี้ขอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากได้อะไรพ่อจะหาให้ทุกอย่าง เพียงครู่เดียวเจ้านางน้อยคนงามก็สะบัดตัวออกจากทาสที่ยึดนางไว้ วิ่งเข้าไปหาหัวของหนานอินเอามากอดแนบอก และคว้าปิ่นปักผมบนหัวแทงคอตัวเองจนขาดใจตายตามคนรักไปอีกคน

เจ้าเมืองตกใจและเสียใจจนคลั่ง ทั้งด้วยความรู้สึกผิด จึงสั่งให้บริวารช่วยกันขุดหลุมฝังศพหนานอินและเจ้านางน้อยไว้ด้วยกันเพื่อ ขอโทษ และต่อมากลัวว่าลูกสาวจะไม่มีข้ารับใช้ในปรโลก เลยสั่งให้ฆ่าตัดหัวทาสแบกเสลี่ยงของเจ้านางน้อยลงฝังไปเป็นบริวารให้ด้วย”

“โหด สัส” อ๋องร้องอุทานออกมาเมื่ออี๊ดอ่านตำนานขบวนแห่ไร้หัวของเจ้านางน้อยจากวารสาร รับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยให้ฟัง “ตัดหัวทาสทั้งขบวนเลยเนี่ยนะ”

“ใช่ดิ” อี๊ดว่า “แล้วแกอย่าเพิ่งเบรก นี่คือแค่เริ่มต้น ยังไม่ถึงจุดพีก”

“เออๆ รีบว่ามาดิ” เพื่อนคนอื่นๆ ที่ฟังอยู่ด้วยเร่งให้อี๊ดเล่าต่อ

“เขา ว่ากันว่า หลังจากนั้น ทุกปีในคืนเดือนดับกลางฤดูร้อนของเดือนแปด ยังมีคนเห็นและได้ยินเสียงขบวนเสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อยเดินออกมาจากป่า เข้ามาในเมืองพร้อมเสียงผู้หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ว่ากันว่าห้ามออกจากบ้านมาเด็ดขาด ใครได้ยินต้องรีบปิดประตูเข้าบ้านจนกว่าขบวนจะผ่านไป มีบางคนที่แอบดูตามหน้าต่างเขาว่าเป็นขบวนเสลี่ยงคานหาม ที่มีผู้หญิงใส่ชุดเจ้านางโบราณนั่งร้องไห้อยู่บนเสลี่ยงกอดหัวของผู้ชายคน หนึ่งไว้บนตัก โดยทาสที่แบกเสลี่ยงและที่เดินตามขบวนนั้นไม่มีหัวสักคน”

หลายคนครางฮือออกมา “หึย ขนลุกเลย สยองว่ะ”

“โอ๊ย…ไอ้ พวกบ้า พวกมึงเชื่อกันด้วยเหรอ” อ๋องพูดพลางหัวเราะ “ที่ไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ เรื่องผีเอาไว้อำน้องใหม่ แล้วถ้าเกิดมีจริงนะ เจ้านางอะไรที่ว่านั่นตายมาเป็นร้อยปีละมั้ง ป่านนี้กลายเป็นตลาดนัด เป็นห้าง เป็นลานจอดรถอะไรไปแล้วมั้ง”

อี๊ดมองหน้าอ๋องแบบ หมั่นไส้ “ทำเป็นรู้ดี ถ้าเป็นอย่างงั้น รุ่นพี่ๆ เขาคงไม่เอามาลงวารสารแจกน้องใหม่หรอก นี่ เส้นทางเดินของขบวนเสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อย เริ่มต้นจากแถวหลังตึกบัญชี ไปถึงหอนาฬิกากลางในมหาลัยของเรานี่แหละ แล้วที่เขาเอามาลง เพราะมีอยู่หลายปี ที่มีนักศึกษาได้ยินเสียงขบวนแห่ วิ่งออกมาดูกลางดึก แล้วหายสาบสูญไปเฉยๆ มีคนเล่าว่า ช่วงปีท้ายๆ ในขบวนแห่เสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อยไม่ได้มีแค่คนที่แต่งชุดโบราณเท่านั้น แต่มีคนแต่งชุดนักศึกษาแต่หัวขาดเดินร่วมอยู่ในขบวนด้วย ว่ากันว่าคนที่ออกไปดูขบวนแห่ของเจ้านางต้องโดนอาถรรพ์ ถูกเอาตัวเข้าไปร่วมในขบวนแห่เจ้านางน้อยด้วย”

“เหวออออ” หลายคนร้องขึ้น “หลอนสุดเลยว่ะ เออของแบบนี้คนพื้นที่เขาเชื่อเราก็ไม่ควรลบหลู่นะ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”

“พวกมึงนี่เรียนวิทย์กันได้ไงวะ” อ๋องยังคงทำหน้าไม่เชื่อ

“เดือนแปดไทยคือเดือนนี้พอดีใช่ไหม เอาดิคืนเดือนมืดนี้เรามาพิสูจน์กัน”

อ๋องทำอย่างที่ว่าไว้จริงๆ คือขออนุญาตอาจารย์พาเพื่อนๆ อีกแปดคนมาจัดบอร์ดนิทรรศการของรายวิชาหนึ่ง ที่ใต้ตึกคณะในตอนกลางคืนในคืนเดือนดับ ทั้งๆ ที่งานไม่ได้เร่งรีบมากนัก ทุกคนรู้ดีว่าเจตนาของการมาครั้งนี้คืออะไร แม้บางคนจะกล้าๆ กลัวๆ แต่ในที่สุดแล้วความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า ก็เลยพากันมาเป็นโขยงทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง หลายคนพกเครื่องรางของขลังมาด้วย แต่โดนอ๋องเก็บหมด

“เราจะมาดูผีถ้าพวกแกพกพระมาผีที่ไหนจะกล้าออกมาให้ดู แมนๆ หน่อยสิวะ” อ๋องพูดใส่หน้าเพื่อนทั้งชายและหญิงพลางเก็บพระและเครื่องรางใส่ย่าม เอาไปซ่อนไว้ที่ชั้นบน

กลางดึก อากาศร้อนอบอ้าว เมฆใหญ่เคลื่อนต่ำจนเสียงพูดก้องสะท้อนไปมา เหมือนฝนกำลังจะตก แต่ก็ไม่ตก บรรยากาศในคืนนั้นมีเพียงความเงียบสนิท ไม่มีแม้เสียงแมลงกลางคืน ในคืนเดือนดับ กลุ่มนักศึกษาใหม่อาศัยแสงไฟนีออนใต้ตึกคณะช่วยกันจัดบอร์ดอย่างสงบเสงี่ยมผิดปกติ เหลียวหน้าแลหลังด้วยอาการหวาด ระแวงเป็นระยะ บางคนเริ่มบ่นว่าไม่น่าหาเรื่องมาเลย

เวลาล่วงเลยไปถึงราวเที่ยงคืนครึ่ง ตอนนี้อากาศที่อบอ้าวเริ่มเย็นลงมาก แต่ยังคงมีความรู้สึกที่ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทุกคนรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่มีพลังอัดแน่นอยู่ในบรรยากาศที่มองไม่เห็น กลิ่นน้ำปรุงแป้งร่ำและกำยานผสมปนเปโชยมาโดยไม่รู้ที่มา รุนแรงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อ๋องเริ่มโวยวายว่าใครฉีดน้ำหอม ใครจุดกำยาน แกล้งกันหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครทำ เพราะตอนนี้ทุกคนกระชับวงล้อมมาเกาะกันแน่นอยู่ตรงกลางครบแล้ว

ไม่ทันขาดคำนั้น เสียงสะอื้นฮักๆ เหมือนคนหัวใจสลายแว่วมาแต่ไกล

“ใครได้ยินบ้างวะ” อี๊ดกระซิบถามเบาๆ ทุกคนพยักหน้าเงียบกริบ

อ๋องทำหน้าไม่พอใจ “กูว่ารุ่นพี่อำแน่นอนไม่เชื่อพวกมึงคอยดู”

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังใกล้เข้ามาจนสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ กลุ่มนักศึกษาที่กระจุกเป็นก้อนกลมกันอยู่ใต้ตึกใกล้ลานหอนาฬิกายิ่งเบียดกันเข้าไปอีก

ทันใดนั้น ฟ้าแลบวิ่งเป็นเส้นแตกลายบนก้อนเมฆส่องสว่างจนตาพร่า เสียงฟ้าร้องครืนครันคำรามลั่นกระหึ่ม ไฟฟ้าที่ส่องสว่างให้ความอุ่นใจดับวูบลงพร้อมกันทั้งบริเวณมหาวิทยาลัย

หลายคนหวีดร้องแต่ก็โดนอีกหลายคนรีบเอามือปิดปากไว้ ราวกับกลัวว่าเสียงร้องจะดังไปถึงหูใครบางคนที่กำลังตรงมาทางนี้

หลังจากนั้นเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาทางหอนาฬิกา เดินเป็นจังหวะพร้อมๆกัน บนถนนมีร่างคล้ายมนุษย์เรืองๆ เดินกันมาเงียบๆ เป็นขบวน กลางขบวนมีเสลี่ยงคานหามลักษณะเหมือนของใช้ของผู้มีชาติตระกูล มีหญิงสาวในเครื่องแต่งกายโบราณงดงาม มวยผมสูง นั่งคู้ตัวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนนั้น และยิ่งขบวนเคลื่อนมาใกล้เข้า ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ผู้ร่วมขบวนที่หามเสลี่ยงมาในชุดนุ่งผ้าผืนเดียวเปลือยท่อนบนทุกคน ล้วนแล้วแต่ไม่มีหัว!

หลายคนกลัวกันจนตัวสั่นบางคนร้องไห้และเริ่มสวดมนต์ แต่อ๋องเหมือนกลัวจนสติหลุด หรือกลัวเสียหน้า หรืออย่างไรไม่ทราบได้ มันลุกขึ้นตะโกนลั่น “กูไม่กลัวพวกมึงหรอกเว้ย อย่าคิดว่าเป็นรุ่นพี่ จะแกล้งทำอะไรกับกูก็ได้นะ”

“เฮ้ย อ๋องเบาๆ ดิวะ มึงไม่กลัวแต่คนอื่นเขากลัว”

อ๋องยิ่งดูโมโหมากขึ้น “กูจะออกไปลากมาให้มึงดูกันเอง ว่าไอ้พวกนี้เป็นคน ไม่ใช่ผี” มันว่าแล้วก็วิ่งออกไปนอกตัวอาคารตรงไปยังขบวนแห่ไร้หัวนั้นอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเพื่อนๆ บางคนจะวิ่งตามออกไป แต่อี๊ดก็ดึงตัวไว้

“อย่าไป เขาบอกไว้ว่า ถ้าอยู่ใต้ชายคาจะปลอดภัย ถ้าออกไปจะ…”

แต่ตอนนั้น อ๋องวิ่งหายไปในความมืดแล้ว มันวิ่งเข้าไปหาทิศทางของขบวนแห่ ก่อนที่ฟ้าจะแลบสว่างวาบอีกครั้ง ตามด้วยเสียงคำรามดังลั่นจนพื้นสะเทือน และพายุทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำลงมาเหมือนฟ้าขาด พัดต้นไม้และป้ายต่างๆ ปลิวว่อน ทำให้พวกเราต้องหนีขึ้นไปหลบพายุบนตึก

หลังจากเรื่องคืนนั้นก็ไม่มีใครได้เจออ๋องอีกเลย เป็นเรื่องน่าประหลาดยิ่ง ไม่ว่าจะตามหากันด้วยวิธีใด ไม่พบแม้ร่องรอย หรือแม้แต่ศพที่จะมีลักษณะใกล้เคียงกับอ๋อง

หลายปีผ่านไป ยังคงมีคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาใหม่ๆ ที่ชอบลองของ ว่ากันว่า หลายต่อหลายรุ่นต่อจากรุ่นไอ้อ๋อง มีคนเห็นขบวนเสลี่ยงเจ้านางน้อยที่เต็มไปด้วยทาสไร้หัว เดินผ่านทางเดิมทุกปี

แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือบางคนยืนยันว่าเห็นร่างคนในชุดนักศึกษาชายไม่มีหัวเลือดแดงฉานไปทั้งเสื้อเดินร่วมอยู่ในขบวนแห่ด้วย พวกเราก็ไม่พยายามจะคิดหรอกว่ามันเกี่ยวกับการหายตัวไปของไอ้อ๋องอย่างไร แต่ให้พิสูจน์อีกคงไม่แล้ว..

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here