ยาย ฝาชีและ บ้านไม้เก่าๆ

ยาย ฝาชีและ
ยาย ฝาชีและ

เมื่อราวสามสิบปีก่อน ผมไปเยี่ยมยายเพื่อน ซึ่งตอนนั้นป่วยหนักแล้ว ตอนยังแข็งแรง ยายแกใจดี เวลาที่ผมไปหาเพื่อนที่บ้าน ยายแกชอบชวนคุยแล้วทำอาหาร ให้กิน บางทีก็ทำขนมอร่อยๆ ให้กิน แถมตักนำกลับไปกินต่อที่บ้านด้วย เพื่อนผมเป็นหลานเพียงคนเดียว ยายแกมีลูกคนเดียวซึ่งก็คือแม่ของเพื่อน แต่โชคร้าย แม่เพื่อนตายตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนเพื่อนสิบขวบ ยายจึงรักหลานคนนี้มาก เผื่อแผ่มาถึงเพื่อนๆ ของหลานด้วย 

ผมไปถึงทันได้กราบยาย ยายลูบหัว อวยพรให้โชคดี เรียนหนังสือเก่งๆ แล้วผมก็ออกจากห้อง ปล่อยให้พ่อและเพื่อน อยู่กันในห้องยาย ยายสิ้นใจในอีกชั่วโมงต่อมา ผมอยู่ช่วยงานศพจนวันเผา บางคืนผมก็นอนค้างกับเพื่อนที่บ้านยาย

แต่พอถึงเวลากิน เรากินกันข้างนอกบ้าน ไม่มีการทำครัวแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนที่ผมเข้าครัว ผมเห็นฝาชีแบบโบราณซึ่งสวยมาก เป็นฝาชีทำด้วยหวายถักเป็นลายดาวล้อมเดือน ดูละเอียดอ่อน ประณีต แถมฝาชีนี้ก็ถักจนแน่น ดูแข็งแรง ทนทาน เพื่อนบอกใช้มาหลายสิบปี เขาเห็นมาตั้งแต่เกิด

“นานๆ ครั้งยายก็ใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดแล้วผึ่งลมไว้ กูยังเคยช่วยยายเช็ดเลย แต่ยายหวงมากนะ ฝาชีอันนี้”

แต่หลังวันเผาเพื่อนกลับยกให้ผม “กูเห็นว่ามึงชอบสะสมของเก่า อยู่กับมึงคงมีประโยชน์มากกว่าทิ้งไว้ที่บ้านนี้ ซึ่งอีกไม่นานพ่อก็คง ขายทิ้งบ้านมันเก่ามาก ซ่อมแซมดูแลไม่ไหว พ่อบอก”

ตอนนั้นผมยังหนุ่ม ผมมองบ้านซึ่งสร้างจากไม้เต็งด้วยความเสียดาย ว่ากันตามจริงก็แค่ทำความสะอาดจริงๆ จังๆ สักรอบ พื้นบ้านและบันไดที่ทำด้วยไม้มะค่าก็แค่ขัดทำความสะอาด ลงเงาอีกรอบก็โอเคแล้ว แต่พ่อของเพื่อนคงอยากขายได้เงินมากกว่าข้ออ้างเรื่องความเก่า

ยายเพื่อนซึ่งสามีเสียตั้งแต่สาวและอยู่บ้านหลังใหญ่นี้มาคนเดียว ผมเห็นภาพถ่ายเก่าๆ ที่แขวนไว้ตามมุมต่างๆ ของบ้าน ด้วยความเสียดายบ้านหลังนี้

ใจผมคิดว่าเพื่อนน่าจะเก็บไว้ เขาอาจจะนึกเสียดายภายหลัง เมื่อบอกเขา เขาบอกว่าก็พ่อต้องการแบบนี้ เขาจะทำอะไรได้

สมัยนั้นกล้องถ่ายรูปยังใช้ฟิล์ม ผมเดิน ถ่ายภาพบ้านหลังนี้ตามมุมต่างๆ จนหมดม้วน หลังจากนำไปล้าง ผมรีบนำภาพไปหาเพื่อน เพราะหลายภาพผมถ่ายติดยายซึ่งตายแล้ว

“ยายแกคงเสียดายไม่น้อย แกอยู่ของแกมาหลายสิบปี อีกอย่างว่าไปบ้านหลังนี้น่าจะเป็นสิทธิ์ของมึงนะ พ่อเอ็งมันแค่ลูกเขย” ผมตัดสินใจพูดออกไป

รู้อยู่เต็มอกว่า หากพ่อเพื่อนได้ยินคงไม่พอใจ

“กูทำอะไรได้ พ่อเขาจัดการเองหมด”

“มึงก็ลองแย้งพ่อสิ”

“พ่อกูเค้าดุ ลองได้ตัดสินใจอะไรลงไปใครห้ามก็ไม่ฟังหรอก”

“เอาภาพพวกนี้ให้พ่อมึงดูสิ กูว่าพ่อมึงคงกลัวจนไม่กล้าขาย”

“กูว่าอาจจะรีบขายเลยก็ได้” เพื่อนตอบ

สมัยนั้นยังไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่เช่นนั้นผมคงเอาขึ้นสเตตัสให้เรื่องดัง แต่ผมก็ตัดสินใจให้พ่อเพื่อนอีกคนช่วย เขาเป็นคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ฉบับดัง

เขาอยากได้เรื่องฮือฮาๆ มาลงอยู่แล้ว ปรากฏว่าเมื่อลงตีพิมพ์เรื่อง “ภาพถ่ายติดวิญญาณ” และดังไปทั่ว ปรากฏว่าบ้านขายไม่ออกจริงๆ เพราะคงไม่มีใครอยากอยู่บ้านที่มีผีหรอก

แต่ที่ไหนได้ พ่อเพื่อนกลับทำสิ่งนอกเหนือความคาดหมาย เขาเอาคนงานที่ไหนไม่รู้ เตรียมรื้อบ้านออกเป็นชิ้นๆ ขายไม้แทนขายทั้งหลัง เล่นเอาผมตกใจ

ปรากฏว่าวันที่คนงานเข้ามารื้อ ทุกคนเจอดี ตั้งแต่เครื่องไม้เครื่องมือหล่นตกพื้น หรือเสียงคนแก่หัวเราะ เสียงคนเดินบน พื้นไม้ บางคนเห็นคนแก่เดินผ่านหน้าไปด้วยซ้ำ สุดท้ายไม่มีคนงานสักคนกล้ารื้อ

ผมนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้อาคอลัมนิสต์ฟัง แกก็กระพือข่าวอีกรอบ เรื่องผีในบ้านไม้เก่าจึงดังเพิ่มไปอีก ทีนี้ปากต่อปาก เรื่องราวก็เล่าเพิ่มเติมความน่ากลัวเข้าไปอีก ตามประสามนุษย์ จากที่คนงานแค่ได้ยิน แค่เห็นแว้บก็กลายเป็นว่าถูกหลอกหัวโกร๋น วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน กระทั่งยายนั่งบนคบไม้แกว่งเท้าก็มีให้ได้ยิน

ผมรู้สึกสะใจและสนุกมากไปด้วย เพราะดีใจที่บ้านไม้หลังนั้นไม่ได้ถูกขาย เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า  ภาพถ่ายที่ว่าถ่ายติดวิญญาณนั้น ผมเองเป็นคนทำขึ้นขณะล้างฟิล์ม เรื่องผียายผมก็จ้างคนมาปลอมเป็นผี ทำเสียงต่างๆ ขึ้นเองเพื่อหลอกคนงาน ผมทำทั้งหมดนี่ก็เพื่อแลกกับฝาชีที่เพื่อนให้มา

คือผมฝันว่ายายแกมาทวงฝาชีคืน แต่ในฝันผมบอกว่า ผมขอฝาชีแลกกับการทำให้บ้านไม่ต้องถูกขายได้ไหม ยายก็ตกลง ผมจึงคิดและ ทำเรื่องทั้งหมดขึ้น ผมไม่ได้เป็นคนดีอะไรหรอก ก็แค่อยากได้ฝาชี

ผู้เขียน “นทธี ศศิวิมล”

Previous articleงานพิเศษ อย่าบอกนะว่า! เองไปทำงานที่บ้านหลัังนั้น
Next articleนอนกับผี ที่โรงแรมใหญ่ชื่อดังย่านหาดจอมเทียน ที่มีฝรั่งโดดตึก