เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องจริง ที่เคยเจอสมัยเรียนมหาลัยไฮโซชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเหนือสุดทางภาคเหนือ ย้อนไปสมัยราวๆ ปลายปี 2553 ช่วงนั้นชมรมลีลาศโดยผมเป็นประธานชมรม มี อาจารย์ที่ปรึกษามาจากสาขาวิทย์-กีฬา ตอนนั้นลีลาศเป็นกีฬาที่ค่อนข้างเฟื่องฟูสำหรับ ม.ผมในสมัยนั้น และกำลังซ้อมเตรียมความพร้อมไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัย
ผมสามารถเจรจาต่อรองกับส่วนพัฒนานักศึกษา ขอใช้สถานที่อาคารสโมสร ซึ่งเป็นอาคารที่ค่อนข้างใหญ่กว้างขวาง มีเวทีเล็กๆด้านหน้า สามารถรองรับคนได้หลักร้อยคน สะดวก มีห้องน้ำ มีไฟ พัดลม พื้นที่เยอะ และมีเครื่องเสียง เลยใช้อาคารนี้ในการซ้อมทุกๆวัน แต่เป็นที่รู้กันว่าอาคารนี้ผีดุ ใครผ่านไปผ่านมาเป็นต้องเห็น เพราะเคยมีพี่ๆ เล่าเรื่องล่าให้ฟังมากมายนัก แต่ทุกคนต่างคิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะเราซ้อมกีฬาตั้งใจทำดีเพื่อมหาลัย ซึ่งช่วงนั้นจะซ้อมกันอยู่ประมาณ 3-4 คู่ โดยผมจะคู่กับน้องเอ (นามสมมติ)
เหตุการณ์วันนั้นคือ ปกติแล้วเราจะซ้อมกันตั้งแต่เวลาประมาณ 4-5 โมงเย็น จนถึง 2-3 ทุ่ม แต่ในวันนั้นเริ่มจากช่วงเย็น 4 โมงกว่าๆ ฝนตกหนักมากๆ และผมพักอยู่บ้านพักนอกมหาลัย แต่ด้วยหน้าที่ ที่ต้องการความเป็นระเบียบในการซ้อมทุกๆวัน เพราะมิเช่นนั้นทุกคนจะคิดว่าไม่มีการซ้อมและหยุดซ้อม ทำให้เกิดความเสียหายต่อชมรม จึงตัดสินใจใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ(ผ้าสำลี)และขับมอเตอร์ไซค์ลุยฝนเข้า ม.โดยไม่มีเสื้อกันฝน โดยจากบ้านพักเข้า ม. ระยะทางอยู่ประมาณ 3 กม.ซึ่งไกลพอสมควร
พอถึงอาคารขอกุญแจป้ายามเปิดอาคารเรียบร้อย เปิดไฟสปอตไลท์ แล้วเดินเข้าไปด้านในสุดของอาคารที่เดินไกลพอสมควรสำหรับอาคารใหญ่ ตากเสื้อกันหนาวเอาไว้บนกระดานดำที่อยู่ข้างเครื่องเสียง ใกล้ๆเวทีด้านหน้า และซ้อมลีลาศกันตามปกติ
เวลาประมาณ 1 ทุ่ม อาจารย์ที่ปรึกษา ตั้งใจจะให้นักกีฬาได้พัก รวมถึงมีน้องสาขากายภาพบำบัด เปิดคลีนิคกีฬาที่สเตเดียมแห่งใหม่ เลยให้ทุกคนหยุดซ้อมและเดินทาง (ขับมอเตอร์ไซค์) ไปสเตเดียม ตอนจะออกมาจากอาคาร มีน้องคนหนึ่งปิดพัดลม ปิดไฟเรียบร้อยแล้ว แต่ดันลืมว่ายังไม่ได้ปิดปลั้กไฟเครื่องเสียงที่อยู่ด้านในสุดอาคาร ผมและเอคู่เต้นจึงต้องเดินเข้าไปเพื่อปิดมัน แล้วไฟสปอตไลท์ดวงใหญ่ภายในอาการดันถูกปิดไปแล้ว ซึ่งกว่ามันจะเปิดติดต้องรอนานมากๆ ผมเลยใช้ไฟจากมือถือเดินส่องเข้าไป ในใจเกิดนึกสนุกขึ้นมา แล้วพูดกับเอว่า
“นี่คือรายการล่าท้าผี“ ซึ่งตอนนั้นรายการนี้มาใหม่ๆ และเป็นรายการที่ดังมากๆ ผมเดินไปจนถึงเครื่องเสียงและปิดมันเรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับออกมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น และขับมอเตอร์ไซต์ไปยังสเตเดียมแห่งใหม่ที่ห่างออกไปราว 1 กม.
จนถึงเวลาประมาณ 20.30 น.เสร็จจากคลินิคกีฬากำลังจะกลับบ้านพัก ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ลืมเสื้อกันหนาวที่ตากเอาไว้เพราะเปียกฝน ผมเลยบอกทุกคนในชมรมว่าไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม แต่ก็โดนปฏิเสธด้วยเหตุผล รีบบ้าง อยู่หอในต้องไปคนละทางบ้าง ผมเลยไปอาคารสโมสรคนเดียว เพราะช่วงนั้นมีบริษัทภายนอกเช่าอาคารริมน้ำใกล้ๆ และมีพี่ยามกะกลางคืนอยู่ตลอดเลยไม่ได้คิดกลัวอะไร
พอไปถึงผมรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลก ๆ คือปกติแล้วเวลาซ้อมลีลาศเสร็จ จะมีพี่ยามคนนึง (ยามผู้ชาย) แกจะมีทรานซิสเตอร์ตัวเล็กๆไว้ฟังวิทยุตัวนึง แกจะเปิดเพลงวัยรุ่นๆเสมอ แต่วันนี้กลับได้ยินเพลงแนวลูกทุ่งหรือลูกกรุงเก่าๆและเสียงซ่าๆ อารมณ์ฟังจากช่อง AM แทนที่จะเป็น FM และพี่ยามแกก็สะพายกระเป๋าก้มหน้าเขียนรายงานประจำวัน ผมเดินเข้าไปหน้าโต๊ะแล้วบอกว่า “พี่ยามครับรบกวนเปิดอาคารให้หน่อยได้ไหมครับ พอดีผมลืมเสื้อ เดี๋ยวเสื้อเน่าเพราะเสาร์อาทิตย์คงไม่ได้มาเอาครับ (วันนั้นคือวันศุกร์)”
พี่ยามไม่ตอบอะไรสักคำผมเลยทำหน้างงๆ ปนหงุดหงิดๆ ผมเลยไม่สนใจและเดินไปหน้าประตูอาคาร บังเอิญเห็นว่าประตูยังไม่ได้ล็อค เพราะปกติจะมีสายคล้องและล็อคแม่กุญแจ ผมเลยเปิดประตูและเดินตรงเข้าไปยังกระดานดำที่อยู่ในสุดโดยที่ไม่ได้เปิดไฟฉายจากมือถือเลย
แม้ว่าอาคารจะมืดนิดๆ แต่ก็ยังพอจะมีไฟส่องสว่างเข้ามาพอได้เห็นทางเดิน พอถึงกระดานดำปุ๊บเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่อยู่สูงกว่าหัวผมนิดนึง ทันทีที่ผมมือจับเสื้อ อยู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงดนตรีไทย วงปี่พาทย์ดังขึ้น ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผมค่อยๆหันหน้าไปยังต้นตอของเสียง มันเป็นเวทีเล็กๆสูงประมาน หัวเข่าอยู่ด้านหน้าอาคาร ห่างจากผมไปราวๆ ไม่เกิน 5 เมตร
ผมเห็นเป็นวงปี่พาทย์มีคนเล่นจริงๆอยู่ 6 คน ทุกคนใส่เสื้อสีขาว นุ่งโจงกระเบนสีแดงกำลังเล่นดนตรีไทยโดยมีปี่ชวา ฆ้องวง ระนาด ฉิ่ง และอีกคนเป็นกลองชนิดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่ามันกลองคืออะไร เนื่องจากคนนี้นั่งอยู่จุดที่ผมมองไม่ค่อยชัด ส่วนอีกคนกำลังขับกลอนคล้ายๆกลอนขับเสภาแบบโบราณๆ
ผมทรุดลงกับพื้นทันที ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่ในใจอยากวิ่งออกไปไม่คิดอะไรทั้งนั้น แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน ผมนั่งชันเข่ามือกอดหัวเข่า หลังพิงกำแพงมองดูวงดนตรีบรรเลงและขับร้องไป ทันใดนั้นอยู่ๆ ไฟตรงกลางฟลอร์ก็ติดขึ้นมาสว่างจ้าแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ในใจก็คิดว่ามันติดได้ยังไง เพราะมันเป็นสปอตไลท์ดวงใหญ่เวลาเปิดปิดต้องใช้เวลา อีกทั้งพัดลมเพดานแบบที่ตอนเด็ก ผมมักจินตนาการว่ามันจะหลุดลงมาปาดคอได้เลย ก็ถูกเปิดขึ้นมา และมีนางรำเป็นผู้หญิงใส่ชฎาใส่ชุดไทย ส่วนที่เป็นเนื้อตัว ทั้งแขน หน้า ขา จะทาแป้งทั้งตัวด้วยสีขาวจั๊วะ เดินเข้ามาทางประตูหน้าจากข้างนอกอาคาร และรำคนเดียวกลางฟลอร์
ผมอยู่สภาพนั้นสักพักใหญ่ๆ จนรู้สึกว่าเริ่มมีสติ เพราะทุกอย่างด้านหน้านั้นเหมือนคนปกติไม่มีอะไรน่ากลัว อีกทั้งไฟที่ค่อนข้างสว่าง ทั้งข้างในอาคารและ จากข้างนอกเข้ามา และพวกเขาไม่ได้มายุ่งอะไรผมเลย เหมือนทำกิจกรรมของเขาไป ผมเลยลุกขึ้นเดินช้าๆเลียบไปตามกำแพง สาตาก็คอยจ้องมองนางรำไปด้วยเรื่อยๆ
จนกำลังจะถึงทางออก ผมหันหลังและเตรียมจะวิ่ง ผมได้ยินเสียงดังใกล้หูมากๆว่า “จะไปไหน จะมาล่าหากูไม่ใช่หรือไง” ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ ดนใจให้ผมหันกลับไปมองตามเสียงนั้น ผมเห็นเป็นนางรำหน้าเละ มีเลือดน้ำเหลืองย้อยกลิ่นเหม็นมากๆ ในระยะห่างออกไปชนิดเอื้อมมือถึงแน่ๆ ผมตกใจสุดขีด และถอยหลังไปสะดุดขอบประตูที่เปิดประตูทิ้งไว้แล้ว ล้มลงไหล่กระแทกพื้น แต่ด้วยความกลัวตอนนั้นทำให้ผมลืมความเจ็บไปเลย
ผมลุกขึ้นและวิ่งต่อไป 4-5 ก้าว จนไปถึงโต๊ะพี่ยาม ผมจึงมองกลับไปยังตัวอาคารกลับเห็นเป็นภาพอาคารปิดไฟมืดสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความที่ผมยังกลัวๆใจเต้นรัวๆ เลยบอกพี่ยามแบบเสียงสั่นๆและติดอ่างว่า “ผ่ะ ๆๆ พี่ ๆๆ ยามครับ ย่ะ ๆๆ ยังๆๆ ไงฝากปิดประตูล็อคกุญแจประตูอาคาร ดะๆๆ ด้วยๆๆๆ นะครับ” แล้วผมก็หันหลังให้พี่ยาม และเดินออกมาช้าๆ
ผมเดินได้ราวๆ 4-5 ก้าว ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายลง เพราะเจอพี่ยามแล้ว และเห็นคน 2-3 คนของบริษัทที่อาคารริมน้ำใกล้ๆ ในระยะสายตา แต่ในชั่วครู่นั้น ผมกลับรู้สึกแปลก ตรงที่ จู่ๆ เพลงที่เปิดไว้เงียบไป เลยตัดสินใจหันหลังกลับไปดูที่โต๊ะพี่ยาม กลับเห็นเป็นโต๊ะยามว่างๆ เลยเดินย้อนไปที่โต๊ะพี่ยาม ก็เห็นเป็นโต๊ะเปียกๆ เพราะโดนน้ำฝนที่ตกลงมาใส่ตั้งแต่ตอนเย็น มันไม่มีร่องรอยการนั่งที่เก้าอี้หรือใช้งานเลยแม้แต่นิด ผมเลยวิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์และบิดกลับบ้านอย่างไวโดยไม่คิดอะไรแล้ว จนผมถึงบ้าน 4 ทุ่มกว่าๆ
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผ่านวันเสาร์อาทิตย์มา วันจันทร์ผมก็กลับมาที่เดิมโดยมาเร็วหน่อย เนื่องจากอยากมาให้ทันป้ายามกลางวัน ผมมาเจอป้ายามตอนเย็นวันจันทร์ และเล่าเหตุการณ์เรื่องพี่ยามให้ป้ายามฟัง แกก็ถามถึงรูปพรรณสันฐาน และแกก็สรุปได้ทันทีว่าเป็นคนที่จมน้ำตายในอ่างเก็บน้ำตรงอาคารนี้เลย สาเหตุเพราะลงไปช่วยแมวที่ตกน้ำข้างๆ อาคารสโมสรนี้ เมื่อราวๆเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากน้ำลึกมากและเขาลืมตัว โดยลงไปขณะยังสะพายกระเป๋าเป้เและใส่คอมแบทเลยว่ายน้ำไม่ได้ (แต่ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องในอาคารให้ป้ายามฟัง) เรื่องทั้งหมดก็ประมานนี้ครับ
ขอบคุณที่มาสมาชิกหมายเลข 2402791