Home คลังหลอน นางโชว์ หน้างาน…ศพ!!

นางโชว์ หน้างาน…ศพ!!

นางโชว์ หน้างาน…ศพ!!
นางโชว์

เรื่องราวเกิดขึ้นที่ภูเก็ต เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ช่วงที่เราวัยรุ่น ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ  เราจะมีเวลาว่างช่วงเย็น จึงขอติดรถของคณะคาบาเรต์ไปด้วย ซึ่งคณะคาบาเรต์ก็จะไปโชว์ตามโรงแรมต่างๆ แต่วันนั้นมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ก็คือว่าเจ้าของคณะ ไม่บอกว่าเราจะไปโชว์กันที่ไหน บอกเพียงแค่ว่าเป็นงานต่างจังหวัด และถ้าใครไปจะให้ 1,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นค่าตัวที่แพงมากในยุคนั้น พวกเราจึงตกลงกัน 

ออกเดินทางขับรถข้ามจากภูเก็ตไปจนเกือบถึงพังงา ตอนนั้นเวลาประมาณห้าถึงหกโมงเย็น พอขับรถมาจนใกล้จะจุดหมาย ปรากฏว่ามันต้องผ่านวัดเข้าไป ก่อนจะไปเจอบ้านหลังหนึ่ง ที่เขาจัดงานศพอยู่ สรุปว่าเราไปโชว์คาบาเรต์ให้ศพดู แต่สิ่งที่ช็อคยิ่งกว่านั้นคือ ตรงส่วนที่เราจะแสดงโชว์ มันคือหน้าศพ เจ้าของงานได้กั้นที่ไว้ให้โชว์ และด้านบนถูกล้อมไว้ด้วยสายสิญจน์ ซึ่งเจ้าของงานเขาให้เราโชว์อยู่ในบริเวณสายสิญจน์นั้น ยอมรับว่าตอนนั้นเราตกใจมาก เพราะไม่เคยเจองานอะไรแบบนี้ 

แต่สิ่งที่ทำให้เราใจชื้นขึ้นมา ก็คือเจ้าของงานที่เป็นคุณแม่ เมื่อพวกเรามาถึง ลงรถปุ๊บ เขาก็เข้ามาแจกเงินเลย พวกเราก็คิดว่า ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็แสดงให้เสร็จไปแล้วกัน  ทางคุณแม่เจ้าของงานก็บอกว่า โชว์แค่ 4 เพลงเอง ไม่นานเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว  

แล้วพวกเราก็รีบขึ้นโชว์กัน หลังจากโชว์เสร็จเรียบร้อย เราก็รีบลงมาเก็บของเตรียมตัวจะเดินทางกลับ แต่ทางคุณแม่เจ้าภาพ ก็เข้ามาบอกว่า อย่าเพิ่งกลับกันเลย อยู่กินข้าวกันก่อนไหม 

ซึ่งเรามากันทั้งหมด 7 ชีวิต ด้วยความที่พวกเราเกรงใจ ไม่ได้อยากกินเท่าไหร่ แต่ก็ต้องกิน เพราะไม่อยากเสียมารยาท  หลังจากกินข้าวเสร็จ ก่อนกลับทางคุณแม่เจ้าภาพก็มีของขวัญให้พวกเราด้วย เป็นกระเป๋า แล้วดันมีรุ่นน้องคนนึง ชื่อว่าแอนนา เป็นคนสวย และเป็นตัวร้อง พูดขึ้นมาว่า พี่ ๆ ไปไหว้เขาหน่อยไหม ไหนๆเราก็มางานเขาแล้ว ทุกคนก็ไป หลังจากที่ไหว้เสร็จ แอนนาก็ดันเหลือบไปเห็นรูปของผู้เสียชีวิต แล้วนางก็พูดขึ้นมาว่า “หู้ยย คนตายหล่อมาก” เพราะคนตายก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ 

ซึ่งเรามาทราบทีหลังว่า ผู้ตายเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ นั่นทำให้เป็นการตายโหง แล้วเขาเป็นคนที่ชอบคาบาเรต์มาก หรือจะใช้คำว่าชอบกระเทยมากก็ได้ ก่อนตายเขาเคยพูดเปย ๆ กับแม่ไว้ว่า ถ้าตายอย่าลืมเอากะเทยมาโชว์ล่ะ ทางคุณแม่เขาก็เลยทำให้ เพราะรักลูกชายเขามาก 

ซึ่งเราก็ด่าเจ้าของคณะไป ว่าทำไมรับงานแบบนี้ไม่บอกเราก่อน  เราก็มารู้อีกว่า คุณแม่นั้นได้หาคณะคาบาเรต์มาทั้งจังหวัดภูเก็ตแล้ว แต่ก็ไม่มีคณะไหนมา จนมาถึงคณะเรานี่แหละ 

หลังจากไหว้ศพเสร็จเราก็เดินทางกลับ จริงๆแล้วคืนนั้นเรามีงานต่อที่อีกโรงแรมนึง แต่ว่าคนที่ชื่อแอนนาไม่ไปด้วย อยู่ๆก็ไม่ไปเฉยเลย ตอนนั้นพอเราขนของขนอะไรลงที่จุดนัดหมายเสร็จเรียบร้อย แอนนาก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์หนีไปเลย ซึ่งแอนนาเป็นตัวร้องหลัก ต้องด้วยไป เราก็งงกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับแอนนา แต่ก็คิดไปว่าคงจะเหนื่อยหรืออะไรสักอย่าง ทำให้ต้องไปโชว์การทั้งๆที่ไม่มีแอนนา 

คืนนั้นหลังจากที่โชว์เสร็จแล้ว รุ่งเช้าเราก็ไปหาแอนนาที่ห้องกัน ไปถึงก็เคาะประตู ก็อก ๆ ๆ  แต่ไม่มีใครออกมา เลยสงสัยว่าไม่สบายหรือเปล่า แต่พอเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับ เราก็เลยกลับ

จนเวลาผ่านไป 2-3 วัน ถึงวันที่แอนน่าจะต้องมาซ้อมโชว์ แต่แอนนากลับไม่มาซ้อม ซึ่งปกติแล้วแอนน่าจะไม่เคยโดนซ้อมเลย เพราะด้วยความที่เป็นตัวร้อง และก็ค่อนข้างเป็นคนที่มีวินัยพอสมควร ทำให้เราสงสัยว่าแอนนาเป็นอะไรหรือเปล่า จึงไปหาที่ห้องอีกครั้ง 

เราเคาะประตูห้องอยู่นาน จนเรารองเอาหูแนบไปกับประตูห้องเพื่อฟังเสียงดู ก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงกับผู้ชายกำลังคุยกัน เราก็คิดในใจว่า หรือแอนนาจะมีผัวแล้ว มันอยู่กับผัวหรือป่าว เราจึงตะโกนเรียก “ แอน ๆ อยู่ห้องหรือเปล่า เป็นอะไรไหม” แต่เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับ มีแต่เสียงคุยกันหรือทะเลาะอะไรสักอย่าง แล้วสักพักหนึ่งเราได้ยินเสียงผู้ชาย บอกว่า “อย่าเปิด” เราก็คิดว่าแอนนาคงมีแฟนจริงๆ เลยบอกไปว่า “เออ แอน งั้นพี่กลับแล้วนะ ไงก็อย่าลืมไปซ้อมล่ะ เดี๋ยวเจ๊แกจะด่า” แล้วแอนนาก็เปิดประตูแง้มออกมาบอกว่า  “ เจ้ หนูไม่สบาย ยังไงฝากบอกแม่ด้วยนะว่า หนูไม่ไปซ้อม เพราะหนูไปไม่ไหว” เราก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง เลยบอกว่า “  อ้าว ตกลงแอนเป็นอะไร” แอนนาก็บอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูนอนพักก็ดีขึ้นแล้ว”  

แต่สภาพของแอนนาที่เราเห็นวันนั้น ขอบตาดํามาก เหมือนไม่ได้นอนมาหลายวัน เพราะปกติแล้วแอนนาจะเป็นคนสวย ผิวขาว เราก็ถามอีกว่า “ โอเคหรือเปล่า เป็นอะไรหรือเปล่า” แอนนาก็บอกว่า “เออ…พี่ไปเถอะ หนูขอนอนพักผ่อน เดี๋ยวถ้าไหวแล้วหนูจะโทรไปหาเอง” เราก็โอเคไม่ได้อะไร แล้วเราก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดมาจากในห้องว่า “อย่าเปิด ๆ” เราเลยไม่อยากกวน 

ขณะที่เรากำลังหันหลังกลับเพื่อจะเดินลงบันได ซึ่งห้องของแอนนาจะอยู่มุมตึกตรงบันไดพอดี เราก็ได้ยินเสียงของผู้ชายด่าตามหลังมาว่า “อย่าเสือก!!” นั่นทำให้เรารู้สึกขนลุกเอามากๆ  เราก็คิดในใจว่า ไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นอะไรของมันวะ แต่เห็นว่าเป็นแฟนน้องเลยพยายามไม่คิดอะไร 

วันเวลาผ่านไปเกือบ 5 วัน กว่าแอนนาจะมาซ้อมได้ แต่พอมาซ้อมกับมีอาการไม่ปกติ ลุกลี้ลุกลน หวาดระแวง ชอบมองไปที่เสาบ้าง มองเพดานบ้าง มองฝาผนังบ้าง  ไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับการซ้อม บางครั้งเราก็สังเกตว่า แอนนานั่งหัวเราะคนเดียว เหมือนกับว่ากำลังคุยอยู่กับใคร บางครั้งก็ทำเขิน ม้วนตัวไปมา เราเลยเข้าไปถามแอนว่า “แอนเป็นไร เมายาเปล่าเนี่ย” แอนนาก็บอกว่า “ไม่ๆ ไม่มีอะไร เจ้ อย่ามายุ่งกับหนู” เราเลยเออๆ ไม่ยุ่งก็ได้  คิดว่าแอนนาคงเมาอะไรสักอย่าง 

แอนนามาทำงานได้ 2-3 วันแล้วก็หายไปอีก เป็นแบบนี้อยู่ประจำ คือมาทำงานได้ 2-3 วัน แล้วก็หายไป แล้วก็กลับมาทำใหม่ได้ 2-3 วัน แล้วก็หายไปอีก พอเราไปตามที่ห้อง เราก็จะพบกับเหตุการณ์เดิม คือเหมือนมีผู้ชายอยู่ในห้อง เหมือนกำลังทะเลาะกัน บางทีก็ได้ยินเสียงขว้างปาข้าวของภายในห้อง ซึ่งเราก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง  

แล้วสุดท้ายอาการหนัก ๆ คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไปโชว์ คืนนั้น แอนนากำลังยืนลิปซิ้งอยู่ อยู่ๆก็หยุดลิปซิ้ง  ยืนตรง อยู่กลางเวที เหมือนคนเคารพธงชาติ เราก็เข้าไปสะกิด “แอน ๆ” แอนก็ทำท่าเบิกตาโพลง แล้วชี้ไปยังต้นปาล์มที่อยู่ในความมืด แล้วตะโกนขึ้นมากลางเวที ว่า “ ผู้ชายคนนั้นหัวขาด!!”   แล้วแอนก็กระโดดลงเวที แล้ววิ่งหายไปเลย ตอนนั้นเราเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันเริ่มไม่ปกติแล้ว ต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับแอนนาแน่ๆ ต้องมีอะไรสักอย่างที่แอนนาปิดบังเราอยู่ 

พอพวกเราไปตามแอนนา ก็พบว่าแอนนาวิ่งเป็นหลบอยู่ใต้กอกล้วยที่ด้านหลังสวนของโรงแรม แอนนาบอกว่าจะไม่ออกจากที่นี่ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น เพราะว่าผู้ชายคนนั้นหัวขาด พูดซ้ำวนไปวนมาอยู่อย่างนี้ เราก็บอกว่า “ไม่มี ๆ ไม่มีใคร กลับบ้านกันเถอะ” แต่แอนนาก็ไม่ยอมกลับ เราก็เลยไปดึงตัวแอนนาออกมาจากกอกล้วย แต่พอดึงขา แอนนาก็เอามือไปเกาะต้นกล้วย พอเราดึงแขนแอนนาก็จะเอาขาหนีบต้นกล้วย ยังไงก็จะไม่ออกจากตรงนั้นให้ได้ เราก็เลยบอกกับเจ้าของคณะว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะขอพาแอนนากลับไปหาพ่อแม่ของแอนนาที่บ้าน เพราะไม่รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร 

หลังจากเลิกงานคืนนั้น พวกเรากลับไปนอนที่หอแอนนา มีเพื่อนไปด้วยสองคน รวมตัวเราอีกหนึ่ง เป็นสามคน เราให้แอนนานอนบนเตียง ส่วนพวกเราที่เหลือนอนที่พื้น ตกกลางคืนเราสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ แปลกๆ ขณะที่นอนอยู่ พวกเราทั้งสามคนก็เห็นเหมือนกันว่า มีร่างมืดๆของผู้ชายคนหนึ่งกำลังคร่อมตัวแอนนาอยู่ แต่ไม่ได้ทำอะไร แค่นั่งคร่อมตัวเฉยๆ 

เพื่อนเราก็สะกิดว่า มึง ๆ เห็นเหมือนกันไหม อีกคนนึงที่นอนอีกฝั่งก็เห็นเหมือนกัน แล้วเราก็ค่อยๆถอยออกห่างจากเตียง และค่อยๆลุกขึ้นมา เอื้อมมือไปเปิดไฟ พอเปิดไฟปุ๊บ ร่างของผู้ชายคนนั้นก็หายวับไปทันที พอเราหันไปมองที่แอนนา ก็พบว่าแอนนากำลังนอนตาเหลือกตาลอยอยู่ เราจึงพยายามเข้าไปตบหน้าให้แอนนาได้สติ เอาน้ำเอาผ้ามาเช็ดตัว 

จนแอนนาได้สติขึ้นมา เราเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น แอนนาก็เล่าตะกุกตะกักกว่า “มีผู้ชายมาขออยู่ด้วย ตั้งแต่วันที่กลับจากงานวันนั้น วันนั้นหลังจากเลิกงาน รู้สึกว่าไม่อยากไปทำงานต่อ ใจอยู่แต่ที่ห้อง อยากกลับแต่ห้องอย่างเดียวเลย  แล้วพอกลับถึงห้อง ก็มีผู้ชายมาเคาะประตู แล้วบอกว่า มาขออยู่ด้วยนะ ซึ่งก็เป็นผู้ชายคนเดียวกันกับที่อยู่ในรูปงานศพนั่นแหละ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนมนต์อะไรสะกด เลยตอบกลับไปว่า ได้…เข้ามาสิ ตั้งแต่วันนั้นผู้ชายคนนั้นก็อยู่ในห้องตลอดเลย พอพยายามจะออกไปไหน ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ยอมให้ออกไป จะให้อยู่ในห้องด้วยกันอย่างเดียวเลย”

ซึ่งพอเราฟังจบก็รู้สึกได้เลยว่ามันไม่ปกติมากๆแล้ว ต้องเป็นวิญญาณของผู้ชายคนนั้นแน่ๆ สุดท้ายเราบอกกับแอนว่า  พรุ่งนี้คงต้องเรียกให้พ่อกับแม่มารับแล้วหล่ะ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงอยู่ไม่ได้แน่ ๆ แอนนาก็พยักหน้า และร้องไห้ไปด้วย 

วันรุ่งขึ้นพอเราติดต่อพ่อแม่แอนนาได้ จึงบอกให้ท่านช่วยมารับแอนนาที่หอหน่อย (ลืมบอกไปว่าตอนนั้นแอนนายก็ยังเรียนอยู่) พอพ่อแม่แอนนามาถึง เราก็ลงไปรับพ่อแมของแอนนาด้านล่าง แต่พอกลับขึ้นมาที่ห้อง ปรากฏว่าแอนไม่อยู่ที่ห้องแล้ว เราช่วยกันตาม จนเจอแอนนาอยู่บนชั้นดาดฟ้า แอนนากำลังจะกระโดดฆ่าตัวตายซึ่งหอพักนี้มีแค่ 4 ชั้น ถือว่าไม่ได้สูงมากเท่าไหร่  

แอนนาพูดว่า ผู้ชายคนนั้นเขาจะให้ไปอยู่ด้วย แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองจะต้องทำ พวกเราโน้มน้าวแอนนากันอยู่นานมาก  และในระหว่างที่เรากำลังพูดโน้มน้าวแอนนาอยู่นั่น “แอนอย่าทำนะ ป๊ากับม๊ามาแล้ว (ครอบครัวของแอนนาเป็นอิสลาม) กลับบ้านเถอะ” แอนนาก็ยืนร้องไห้ โยกตัวไปมาแปลก ๆ จะกระโดด ก็ไม่กระโดด แล้วอยู่ ๆ ก็ทิ้งตัวลงมาเลย  แอนนาแขนหัก ขาหัก สะโพกร้าว หัวแตก แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต เราตกใจ ไม่รู้จะทำไง จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกรถโรงพยาบาล ไม่นานรถโรงพยาบาลก็มาถึง 

เหตุการณ์ก็สืบเนื่องมาได้เรื่อยๆ ขนาดอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ทั้งพยาบาลและหมอหรือใครก็ตามที่เข้าไปเยี่ยม ก็มักจะเห็นเงาของผู้ชายคนนั้นอยู่ในห้อง เขาตามแอนนาไปทุกที่จริงๆ 

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราไปเยี่ยมแอนนา พอแล้วปิดประตูห้อง แล้วสายตาเหลือบมองไปที่กระจก เห็นเงาของผู้ชายคนนั้นจากในกระจกชัดมาก  ซึ่งก่อนหน้านี้พยาบาลคุยกันว่า เคสนี้ไม่ปกติ มีคนอยู่ในห้องด้วย และเราก็ได้รับฟังมา แต่เราก็ไม่คิดว่าจะมาถึงขั้นนี้ พอเรามาเจอกับตัวเอง ถึงกับช็อคไปเหมือนกัน 

ซึ่งพอพ่อแม่แอนนาทราบเรื่อง ก็ด่าเราใหญ่เลยว่าพาลูกเขาไปทำอะไรมา จนถึงขั้นจะให้ตัดเพื่อนกลุ่มนี้ไปเลย 

ตลอดเวลาที่แอนนานอนอยู่โรงพยาบาล แอนนายังคงมีอาการเบลอ ๆ สติไม่เต็มสักเท่าไหร่ บางครั้งก็คุยรู้เรื่อง บางครั้งก็คุยไม่รู้เรื่อง บางครั้งก็จะพูดขึ้นมาว่า “ พี่โต๊ดจะให้ไปอยู่ด้วย” เราก็ถามว่าพี่โต๊ดไหนเป็นไคร” แอนนาก็บอกว่า “พี่โต๊ดคนนั้นแหละ เขามาอยู่ดูแอน เขามาถามว่าแอนจะไปอยู่กับเขาไหม มาถามทุกวัน” คำพูดของแอนนาจะวนเวียนอยู่ประมาณนี้ในทุกๆวัน จนกระทั่งร่างกายของแอนนาดีขึ้น จนสามารถกลับไปอยู่ที่บ้านได้ พ่อแม่ของแอนนาก็พากลับไปบ้าน เราก็ได้แวะเวียนไปเยี่ยมแอนนาที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว พอได้เห็น ก็ต้องใช้คำว่าแอนนานั้นไม่เหมือนเดิม 

จนกระทั่งพ่อแม่ต้องแอนนาไปพบกับโต๊ะอิหม่าม ซึ่งโต๊ะอิหม่าม จะมีความสามารถในด้านถอนของบางอย่าง และปรุงยา ซึ่งถ้ามองตามพิธีการของโต๊ะอิหม่าม คนที่เป็นแบบนี้ ร่างกายเขาไม่ปกติ โต๊ะอิหม่าม จึงต้มยาให้ทาน เพื่อจะให้ร่างกายกลับปกติแข็งแรง แล้วสิ่งพวกนี้ก็จะไม่เข้ามาอีก 

แอนนากินยาของโต๊ะอิหม่ามอยู่เป็นเดือน จนเริ่มมีสติกลับมาเหมือนเดิม พอแอนนาเริ่มมีสติดีขึ้น เราก็ถามว่าเขายังอยู่ไหม ยังมาอยู่ไหม แอนนาก็บอกว่าในช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ก็ยังเห็นเขาอยู่ในบางครั้ง สุดท้ายจึงต้องใช้วิธีเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะของตัวแอนนาเอง โดยตัดผมเป็นผู้ชายไปเลย พาไปละหมาด พาไปมัสยิดทุกวันศุกร์ เป็นประจำ ไม่ขาด ซึ่งเราก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า คนมุสลิมเขาจะค่อนข้างเชื่อถือในบทสวด เชื่อถือในพระอัลเลาะห์ที่เขาสวดไป ว่าจะทำให้วิญญาณของเขาเข้มแข็ง ซึ่งใช้เวลาทำแบบนี้อยู่นานมาก จนเรามาเจอแอนนาอีกครั้ง พบว่ามีแฟนเป็นผู้หญิงไปแล้ว เปลี่ยนเป็นอีกคนไปเลย ที่ทำไปก็เพราะมันจะทำให้สามารถหนีจากดวงวิญญาณดวงนี้ไปได้ 

สุดท้ายอยากจะบอกให้ทุกคนที่ได้อ่านเรื่องนี้ว่า ถ้าใครไปงานศพ อย่าไปทัก อย่าไปแซวหรืออยากทำอะไรที่ไม่ควรเด็ดขาด เพราะเราไม่สามารถกอกได้ อะไรที่จะตามเรามาหลังจากนั้น

อังคารคุมโปง คาบาเรต์ หน้างานศพ ถอดความโดยคลังหลอน

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here