บอกแล้วไงว่าอย่าขาน

บอกแล้วไงว่าอย่าขาน
บอกแล้วไงว่าอย่าขาน

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราอยู่ ม.6 เวลาที่โรงเรียนมีการจัดกิจกรรมกีฬาสี แน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องมีทำกิจกรรม ช่วยงาน หรือซ้อมกีฬากันจนเย็นย่ำค่ำมืด และหน้าที่หลักๆของพี่ ม.6 ก็คือต้องคุมน้องๆ ที่จะขึ้นแสตนด์เชียร์

ชั้น ม.6 ของเรามีทั้งหมด 10 ห้อง ตั้งแต่ 6/1 – 6/10 เราอยู่ 6/9 ได้รับหน้าที่ให้ทำฉากของแสตนด์เชียร์ มีเรากับเพื่อนผู้หญิงอีก 2 คน รวมเราด้วยก็เป็น 3 คน พวกเราได้รับมอบหมายจากหัวหน้าห้องว่า ให้พวกเราไปซื้อของเพื่อที่จะมาทำฉาก แต่บอกก่อนนะว่าเรากับเพื่อนอีก 2 คน ถ้ามารวมตัวกัน มันจะเหมือนกลายเป็นแก๊งขี้เกียจเลยแหละ

พอเราได้รับมอบหมายให้ออกไปซื้อของ มันก็เหมือนเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ของพวกเราเลยทีเดียว เราออกไปซื้อของตอนเย็นประมาณ 5 โมงกว่าๆแล้ว ก็ซื้อของกันนานมากจนลืมดูเวลา ลืมนึกว่ามีเพื่อนๆรออยู่ที่โรงเรียน ซื้อของเสร็จ จนเรามองดูเวลาอีกที เกือบ 1 ทุ่มแล้ว พวกเรารีบตาลีตาเหลือกกันกลับโรงเรียนโดยด่วน

พอกลับไปถึงโรงเรียน ก็เจอพวกเพื่อนๆที่รอของอยู่ และก็เจอคุณครูที่ปรึกษาของเรายืนอยู่ ตอนนั้นพวกเราทั้ง 3 คน เหมือนนักโทษที่พร้อมจะรับความผิดอยู่เลย ครูก็ว่าพวกเราว่าทำไมไปกันนาน พวกเพื่อนๆที่อยู่ที่โรงเรียนก็ว่าพวกเรา แต่พวกเราก็ไม่ได้เถียงหรืออะไรสักคำ เพราะรู้ว่าเราทำผิด และบทลงโทษในการทำผิดของพวกเราในวันนั้นก็คือ ให้พวกเราทั้ง 3 คน อยู่ทำแสตนด์ไปจนถึง 4 ทุ่ม โดยจะมีภารโรงเป็นคนคอยดูพวกเรา แล้วเพื่อนๆที่เหลือก็กลับบ้านกัน

ตอนนั้นบรรยากาศที่ไม่มีเพื่อนๆหลายคนอยู่นั้นมันวังเวงมาก แล้วเราอยู่กันแค่ 3 คน มันก็ไม่ได้ว่าจะมีความน่ากลัวลดน้อยลงเลย เพื่อนเราอีก 2 คนขอใช้ชื่อย่อว่า ร. กับ ศ. นะคะ พวกเราขณะที่โดนลงโทษอยู่มันเหมือนจะไม่สำนึกผิดเลย อยู่ๆ ร. มันก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าเราทำงานกันอยู่ แล้วอยู่ๆผีมาหละวะ พวกเราจะทำไงกันดี” ศ.ก็พูดขึ้นมาว่า “กูก็จะให้มันช่วยทำงานไง ทำกันอยู่ 3 คนเหงาจะตาย” เมื่อ ร.กับ ศ. พูดมาขนาดนั้น ในใจเราก็คิดแล้วแหละว่ามันจะพูดทำไมวะ ยิ่งตอนนี้มันก็มืดแล้วด้วย แถมยังมีเรื่องเล่าอะไรน่ากลัวๆเกี่ยวกับโรงเรียนอยู่ในหัวสมองเราอีก เราก็เก็บความกลัวไว้ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป คิดแค่ว่าเราต้องรีบทำงานให้เสร็จเร็วๆ

ตอนเราอยู่บนแสตนด์ มองไปข้างล่างก็จะเป็นสนามบอล มองไปทางขวาก็จะเป็นอู่ซ่อมรถเก่าๆมันร้างแล้ว โรงเรียนเราอยู่ติดกับอู่ซ่อมรถนะคะ มองไปทางซ้ายก็จะเป็นทางเดินออกนอกโรงเรียน ทำงานไปสักพัก เราก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาว่า “เห้ยยยยย” ครั้งแรกพวกเราทั้ง3คน ได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่มีใครขาน ได้เพียงแต่มองหน้ากัน อีกสักพักก็มีเสียงมาอีกแล้ว “เห้ยยยยย” เป็นอย่างนี้อยู่ 2 ครั้ง จนครั้งที่ 3 เพื่อนเรา ร. มันก็ขานรับไปว่า “เออ ว่าไง ใครเรียกวะ” 

ตอนนั้นเรากลัวนะ เราก็เลยพูดกับ ร.ว่า “ไปขานรับทำไม รู้หรอว่าใครเรียก” ร.มันก็บอกว่า “ไม่รู้หรอกว่าใคร ขานไปงั้นแหละ เผื่อเป็นคน” เรากับ ศ. ก็มองหน้ากัน เหมือนรู้กันแล้วแหละว่าอีกสักพักต้องมีไรเกิดขึ้นแน่นอน แล้วสิ่งที่พวกเราคิดมันก็เกิดขึ้นจริงๆด้วย มันเริ่มมีกลิ่นน้ำอบลอยมาค่ะ แล้วลมก็เริ่มพัดมาพร้อมกลิ่นน้ำอบ เรากับ ศ. ได้กลิ่นนะ เราก็เลยถาม ร.ว่ามันได้กลิ่นมั้ย ร.มันบอกว่ามันไม่ได้กลิ่นน้ำอบ แต่มันได้กลิ่นเหม็นศพเลยแหละ ตอนนั้นพวกเราเลิกทำงานกันแล้วมานั่งจับกลุ่มรวมตัวกันไว้แล้ว แต่ต้องรอเวลาจนถึง 4 ทุ่มถึงจะกลับบ้านได้ เรามองดูนาฬิกา เวลามันช่างช้าอะไรอย่างนี้ คือมันช้ามากค่ะ มันแค่ 20.45 น.เอง แล้วเราต้องทนอยู่กับสภาพกลิ่นแบบนี้ไปจนถึง 22.00 หรอ เห้อชีวิต

สักพักกลิ่นมันเริ่มจางลงไปค่ะ พวกเราก็เลยเริ่มหายกลัวและ แต่ยังไม่ทันไรเลย พวกเราได้ยินเสียงคนร้องไห้ค่ะ ร้องแบบสะอึกสะอื้นแบบเหมือนร้องฟูมฟายมากค่ะ ร.กับ ศ.มันกลัวนะคะ เรารู้เลยว่ามันกลัวเพราะเราดูจากสภาพสีหน้าของพวกมันออก ตอนนั้นก็คงจะมีแต่เราแล้วแหละที่จะกล้าที่สุดในนั้น เราเลยพูดกับพวกมันว่า ไม่ต้องกลัวนะ เอางี้ละกัน เดี๋ยวเราจะไปดูให้ว่าเสียงมันมาจากตรงไหน ไอ้เราก็คนใจดีไง เดินดูทั่วๆแสตนด์แล้วก็ยังไม่เจอที่มาของเสียง ยิ่งเดินหาเสียงเท่าไหร่ มันยิ่งแบบฟูมฟายมากขึ้นเท่านั้นค่ะ

ตอนเราเดินไปหาต้นเสียงนั้นอะ เราไม่รู้เลยว่าเพื่อนเราอีก 2 คนมันหนีเรากลับบ้านค่ะ เราเดินกลับมาตรงที่ที่เราทำงาน เราเจอกระดาษเขียนไว้เป็นลายมือของ ร. ว่า “ กูกับศ.ขอกลับบ้านก่อนนะ” คือแบบเราเห็นมันเขียนแบบนั้นอะ เราโกรธพวกมันมากเลยนะ คือว่าทิ้งเราทำไมอะ ทั้งๆที่บรรยากาศมันเป็นแบบนี้อยู่

เรามองดูนาฬิกาอีกรอบ ตอนนั้นเวลาสามทุ่มกว่าๆแล้ว เราก็เลยว่า เอออยู่ให้ถึง 4 ทุ่มก็ได้ เช้ามาจะได้ไม่โดนครูทำโทษอีก เราก็เก็บของไปพลางๆรอเวลา 4 ทุ่ม แต่หูเราอะ ได้ยินเสียงคนตะโกนมาอีกแล้ว “เห้ยยยย” เราได้ยินแบบนั้นหลายครั้งแล้วค่ะ เราก็หงุดหงิดด้วย เราเห็นว่าเพื่อนเราขานรับไปแล้วไม่เป็นไร เราก็เลยขานไปบ้างว่า “เออ ใครอะ มาช่วยเก็บของหน่อย” เท่านั้นแหละค่ะ มีกิ่งไม้จากไหนไม่รู้ เหมือนมีคนโยนมาใส่เราคะ แล้วก็เสียงหัวเราะตามมา (ลืมบอกค่ะ ว่าเสียงหัวเราะกับเสียงร้องไห้เป็นเสียงผู้หญิงนะคะ)  

เราไม่ไหวแล้ว เราไม่อยู่แล่วค่ะ รีบวิ่งลงจากแสตนด์ทันทีเลย วิ่งไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะตามมาตลอดนะคะ เราคิดว่าวิ่งยังไงก็ได้ให้เร็วที่สุด ให้ออกไปหาลุงภารโรงให้เร็วที่สุด พอเราวิ่งไปหาลุงได้ เราก็เล่าให้ลุงฟังทั้งหมดว่าเราเจออะไรบ้าง ลุงแกหัวเราะ แล้วบอกกับเราว่า “ลุงจะบอกคุณครูของพวกหนูแล้ว ว่าอย่าปล่อยให้เด็กทำงานกันจนดึก เดี๋ยวอีนั่นจะออกมา” เราถามลุงว่า อีนั่น คือใคร ลุงก็บอกเราว่า “อีนั่นอะมันชื่อน้อย มันเป็นแม่ครัวอยู่ที่โรงอาหาร ตอนเป็นแม่ครัวมันชอบกับคุณครูสอนพละ คุณครูก็ชอบพอกับมัน แต่คุณครูเค้ามีครอบครัวอยู่แล้ว พอมันรู้ว่าคุณครูมีครอบครัวแล้ว มันก็ช้ำใจไง ไปผูกคอตายบนต้นไม้ข้างๆแสตนด์” 

เราฟังจบเราตกใจมากเลย คือไอ้กิ่งไม้นั่นที่เหมือนมีอะไรโยนมาใส่เรา มันมีเชือกผูกกับกิ่งไม้นั้นด้วย โอ๊ยยยย อยากจะร้องไห้เป็นภาษาอังกฤษ ชีวิตกูทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ คืนนั้นเราก็กลับบ้านไปตามปกติ

พอเช้า เราก็มาโรงเรียนปกติ เราโกรธ ร.กับ ศ.นะ ว่าทำไมทิ้งเราไป แต่ก็โกรธได้แปปเดียวแหละ เพราะเรายังต้องทำงานร่วมกับมันอยู่ เราก็เลยไปถามว่าทำไมเมื่อคืนหนีกลับบ้านไป ร.มันบอกว่า “ตอนที่เธอเดินตามหาเสียงร้องไห้อยู่อะ เราเห็นผู้หญิงเดินตามเธอทุกฝีก้าวเลย” แล้วพอมันจะเรียกให้เรารู้ตัว ผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาหาพวกมัน พวกมันเลยต้องกลับกันก่อน ตั้งแต่นั้นพวกเราก็ตั้งใจทำงานกันอย่างดีเลย เพราะไม่อยากโดนทำโทษอีก

ที่มาสมาชิกพันทิปหมายเลข 1962505 

Previous articleพรายน้ำ มันมาร่วมเสพสมในฝัน ถ้าติดใจในการเสพกาม ก็อาจจะต้องตาย
Next articleนางโชว์ หน้างาน…ศพ!!