เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมเจอมากับตัว มีพยานบุคคลที่อยู่ร่วมเหตุการณ์สามารถยืนยันได้ชัดเจน แต่ผมจะขอใช้ชื่อสมมติทั้งหมด เพราะผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ถ้าใช้ชื่อจริงอาจทำให้กระทบต่อชีวิตประจำวันเขาได้ จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อสมมติเพื่อความเหมาะสมครับ
เรื่องนี้เกิดเมื่อ 6-7 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ ม.ปลาย คือช่วงที่ผมพึ่งจะศึกษาศาสตร์วิชากับครูบาอาจารย์ได้เพียงปี-สองปี คนที่รับรู้เรื่องของผมก็มีเพียงพ่อ แม่ และญาติใกล้ชิดเท่านั้น การรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ ครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรก และตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ยังถือว่าเป็นครั้งที่มีผลต่อผู้ถูกกระทำรุนแรงที่สุดด้วยครับ
เรื่องมีอยู่ว่า พี่ต้อมเป็นญาติห่างๆ ของผม ซึ่งพ่อของผมกับแม่ของพี่ต้อมเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน (ปู่ผมเป็นพี่ชายของตาพี่ต้อม) ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กันผมจึงค่อนข้างสนิทกับบ้านพี่ต้อมตั้งแต่เด็ก ซึ่งเรื่องที่ผมชอบเรียนรู้วิชานี้ บ้านพี่ต้อมก็รับรู้ด้วย
พี่ต้อมมีแฟนสาวชื่อพี่ผึ้ง ทางบ้านพี่ต้อมค่อนข้างจะยากจน เพราะพ่อพี่ต้อมติดสุรา ทำให้ครอบครัวของพี่ผึ้งไม่ค่อยจะปลื้มเรื่องนี้นัก ออกจะกีดกันเสียจนออกนอกหน้าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะแม่ของพี่ผึ้งที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาพี่ต้อมเป็นลูดเขยแน่ๆ
พี่ต้อมกับพี่ผึ้งจึงต้องแอบไปมาหาสู่กัน โดยมีเพียงผู้ใหญ่ฝ่ายพี่ต้อมที่รับรู้ โดยพยายามหลบทางบ้านพี่ผึ้งที่จะคอยกีดกัน หนักเข้าถึงขั้นขังพี่ผึ้งไว้ในบ้านเพื่อไม่ให้เจอกับพี่ต้อม พอพี่ต้อมพยายามไปตามที่บ้านก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา ทั้งยังพูดจาดูถูกที่บ้านพี่ต้อมสารพัด
วันหนึ่งพี่ผึ้งแอบหนีมาหาพี่ต้อมที่บ้านตอนกลางคืน แม่พี่ผึ้งรู้เข้าถึงขั้นมาตามโวยวายถึงบ้านพี่ต้อม จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต วันรุ่งขึ้นทางบ้านพี่ต้อมจึงต้องยกกันไปเจรจากับแม่พี่ผึ้งถึงบ้าน ครั้งนี้ทางพี่ต้อมเอาคุณตามน ตาของพี่ต้อมที่อยู่บ้านหลังใหญ่ (แม่พี่ต้อมแยกออกมาปลูกบ้านอยู่กับสามีในที่ของตามน)มาร่วมเจรจาด้วย
ตามน เป็นคนที่ชาวบ้านเคารพนับถือ แม่ของพี่ผึ้งจึงจำยอมให้ลูกสาวคบกับพี่ต้อมอย่างเปิดเผย โดยทางบ้านพี่ต้อมได้วางเงินหมั้นไว้จำนวนหนึ่ง และได้ขอพี่ผึ้งให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันเลย
หลังจากนั้นพี่ผึ้งก็ได้ย้ายเข้าบ้านพี่ต้อม โดยที่แม่ของพี่ผึ้งไม่ค่อยพอใจนัก ยังพยายามพาลูกไปโน่นนี่บ่อยๆ เพื่อให้พี่ผึ้งไม่มีเวลาอยู่กับพี่ต้อม
จนวันหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่ม แม่พี่ต้อมโทรมาตามให้พ่อผมไปที่บ้านใหญ่ของตามน เพราะอยู่ดีๆ พี่ผึ้งก็มีอาการแปลกๆ จำใครไม่ได้ และเพ้อจะกลับไปหาแม่ของตนตลอดเวลา ซึ่งพี่ผึ้งไม่เคยบอกว่าอยากกลับบ้านของตนสักครั้ง แม่พี่ต้อมไม่รู้จะทำยังไง จึงพาพี่ผึ้งไปบ้านตามนที่มีคาถาอาคมอยู่พอตัว
ตอนนั้นแม่พี่ต้อมเชื่อว่าพี่ผึ้งโดนของ พอพ่อเล่าให้ฟัง พ่อผมและแม่จึงรีบวิ่งไปบ้าน ตามน(บ้านอยู่ห่างกับบ้านผมสองหลัง) พอไปถึงก็เห็น ตามน ถือขันน้ำสแตนเลส ค่อยๆท่องบ่นคาถาพึมพำไม่หยุด โดยพี่ผึ้งนั่งอยู่ตรงหน้า มีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนในบ้านพี่ต้อม บ้านตามน บ้านผม รวมทั้งญาติๆ ที่อยู่บ้านใกล้ๆ กันต่างมามุงดูพี่ผึ้ง ในจำนวนนั้นมี ตาสุทธา อยู่ด้วย
ตาสุทธา เป็นผู้เฒ่าแก่วิชาเป็นที่ยอมรับนับถือเช่นเดียวกับตามน และบ้านยังอยู่ข้างกันกับตามนอีกด้วย ทุกคนพยายามช่วยเรียกสติพี่ผึ้ง แต่พี่ผึ้งก็จำใครไม่ได้สักคนแม้แต่พี่ต้อม
ตาสุทธาและตามนเรียกให้ผมไปช่วยดูพี่ผึ้ง เพราะทั้งสองท่านรู้อยู่แล้วว่าผมมีวิชาอยู่บ้าง ผมพยายามตั้งสติแล้วเอามือแตะที่ตรงท้ายทอยพี่ผึ้งที่นั่งอยู่กับพื้น แล้วอาราธนาครูบาอาจารย์ให้ช่วยหาสาเหตุของอาการที่ผึ้งเป็นอยู่ ภาพที่ผมเห็นคือหมอกสีเทาและเหลืองเหมือนควันกำมะถันปกคลุมพี่ผึ้งเต็มไปหมด และมีเสียงสวดภาษาเขมรคลออยู่ตลอด
ตามน มองมาที่ผมแล้วบอกว่า “ฟังมันก่อนจะได้สวดแก้ถูก” ผมจึงใช้ให้พ่อกลับบ้านไปเอาขอสับช้างที่ครูบาอาจารย์ผมลงอาคมไว้มาให้ ระหว่างนั้นตามนก็บริกรรมมนต์คาถาใส่น้ำมนต์ แล้วคอยรดพี่ผึ้งอยู่ตลอดเพื่อระงับอาการเพ้อ ส่วนตาสุทธาก็จับมือพี่ผึ้งเอาไว้คอยดูว่า สิ่งที่อยู่ในตัวพี่ผึ้งวิ่งไปตรงไหนบ้าง
“มันยังไม่สู้” ตาสุทธาบอกกับผม ตอนนั้นผมพยายามตั้งสติคุมจิตตัวเอง พลางสวดบทอัญเชิญครูบาอาจารย์ไปพลางๆ ด้วย จนพ่อผมกลับมาพร้อมขอสับช้างที่ผมใช้ประจำ
ตอนนั้นพ่อของพี่ผึ้งก็เข้ามาพอดี เพราะแม่พี่ต้อมโทรตาม (พ่อกับแม่พี่ผึ้งแยกทางกันและพ่อมีครอบครัวใหม่) พ่อพี่ผึ้งพยายามถามลูกสาวว่าเป็นอะไร แต่ปรากฏว่าพี่ผึ้งจำไม่ได้แม้แต่พ่อแท้ๆ ของตัวเอง พ่อพี่ผึ้งถึงกับน้ำตาตกเพราะเป็นห่วงลูก
“มันสู้แล้วๆ” ตาสุทธาพูดขึ้นมาทำลายความเงียบและบรรยากาศอึมครึม ตามนรีบดึงขาพี่ผึ้งให้เหยียดออกและกันคนออกจากฝั่งปลายเท้าของพี่ผึ้ง ผมใช้ขอสับช้างจี้ไปตรงท้ายทอยพี่ผึ้งพร้อมทั้งสวดคาถาไล่ของ แล้วตะคอกใส่พี่ผึ้งจนสะดุ้งตัวโยน ตอนนั้นในหัวแวบเห็นไอควันพุ่งออกไปทางตะวันตก แล้วมีผู้หญิงร่างท้วมๆ ใส่ชุดขาวอยู่ปลายทางของควันที่พุ่งไป
ตามนรีบส่งด้ายสายสิญจน์ให้ตาสุทธาผูกข้อมือให้พี่ผึ้ง พี่ผึ้งเริ่มได้สติแล้วมองหน้าผู้คนที่มุงดูอยู่ ทุกคนเริ่มถามไถ่พี่ผึ้ง ซึ่งตอนนี้ยิ้มออกและสามารถไล่ชื่อคนในบ้านได้ทุกคน
พอทุกคนพักได้หายใจหายคอกันแล้วก็เริ่มถามว่าพี่ผึ้งไปโดนอะไรมา พี่ผึ้งเล่าว่าเมื่อตอนบ่ายแม่พี่ผึ้งมารับ บอกจะพาไปดูดวงที่ต่างอำเภอ(อำเภอนี้อยู่ทางทิศตะวันตก) แล้วหมอดูผู้หญิงก็บอกว่าดวงไม่ดี ให้ดื่มน้ำมนต์ล้างเอาสิ่งไม่ดีออก พี่ผึ้งจึงรับมาดื่ม พอกลับบ้านมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว
ตามนจึงบอกว่าที่กินไปคือน้ำผสมยาสั่งที่สั่งให้คิดถึงแต่แม่ตนเอง คงเพราะแม่พี่ผึ้งไม่อยากให้คบกับพี่ต้อม และอยากได้พี่ผึ้งกลับบ้านด้วย พอเรื่องกระจ่างคนที่ดูจะโมโหที่สุดก็ดูจะเป็นพ่อของพี่ผึ้งเอง
หลังจากคืนนั้นก็ได้ข่าวว่าแม่พี่ต้อมพาพี่ผึ้งไปหาหมอไสยศาสตร์คนหนึ่งที่ญาติอีกคนแนะนำ และได้ทำการตัดสายสิญจน์ที่ตาสุทธาผูกไว้ออก เขาบอกว่าหมอคนนั้นถอนของให้พี่ผึ้งมีทั้งตะปู ทั้งเส้นผม ซึ่งผมไม่เห็นว่ามีในวันนั้น
พอเรื่องเริ่มเป็นขี้ปากคน แม่พี่ผึ้งก็มาโวยวายใหญ่โตว่าผมใส่ร้ายแกว่าทำของใส่ลูกตัวเองทั้งตะปูทั้งเส้นผม แต่วันนั้นผมไม่อยู่บ้าน ตาข้างบ้านผมจึงเถียงแทนพร้อมเล่าเรื่องยาสั่งที่ผมบอกให้แม่พี่ผึ้งฟัง แม่พี่ผึ้งเหรอหลากลับบ้านไปแล้วไม่ผ่านมาบ้านผมอีกเลย
เรื่องนี้ผ่านมาสามสี่ปีได้แล้วครับ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยุ่งกับเรื่องพี่ผึ้งอีก เพราะแม่พี่ต้อมพาพี่ผึ้งไปหาหมอคนนั้นตลอด จนตอนนี้พี่ผึ้งเลิกกับพี่ต้อมแล้วและกลับไปอยู่กับแม่ ส่วนตามนก็เสียเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนี้เรื่องนี้ก็ไม่มีคนพูดถึงอีกแล้วครับ
ขอบคุณที่มา ชยาเป็นคนเล่า เรียบเรียงโดย คลังหลอน