เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2539 ครอบครัวเราได้ย้ายไปซื้อบ้านที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ณ.ตัวเมือง จ.หอยใหญ่ ไข่แดง เพื่อให้คุณพ่อได้พักผ่อนจากการที่หักโหมทำงานส่งเราเรียนจนจบ ปริญญาโท ค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ คิดแค่นี่บ้านของเราซื้อแล้วก็เตรียมจัดแจงย้ายของเข้าเลย แต่แล้วเรื่องมันไม่ง่ายนะสิคะ
คืนแรก เรานอนรวมกันในห้องนอนชั้น 2 เนื่องจากมีแอร์แถมติดมาห้องเดียว เป็นบ้านไล่ระดับ 2 ชั้นครึ่งค่ะ ชั้น 3 เราขอเป็นชั้นส่วนตัว ชั้นอื่นตามสบาย คุณพ่อคุณแม่ยึดครองชั้น 2 มีห้องขนาดกลาง 2 ห้อง ห้องใหญ่ 1 ห้อง เหลือห้องใหญ่ที่ไม่ได้ทำอะไร เรานอนรวมกัน ตอนนั้นสักประมาณ ตี 2 นาฬิกาพูดได้ยี่ห้อ Family ที่แถมมากับเครื่องเล่นเกมส์ตลับของ Family ก็ดังเพื่อปลุกให้คุณพ่อไปดูคนงานกรีดยางดังขึ้น
“ขณะนี้เวลาตี 2 นาฬิกา 10 นาที” เราเลยตื่นขึ้น แล้วไปถามว่า “พ่อคะ เราย้ายบ้านแล้วจะตั้งปลุกทำไม” “อ๋อ นอนเถอะลูกมันตั้งค้างไว้มานานแล้ว” เราเลยปิดแล้วนอนต่อ ตอนนั้นมั่นใจว่าตี 5 มันต้องปลุกอีกครั้งจึงถอดถ่านออก แล้วนอนต่อ สักพักมันก็ปลุกอีก ขณะนี้เวลา 11 นาฬิกา 10 นาที
ตาลุกวาวเลยค่ะ ลุกขึ้นวิ่งเข้าห้องน้ำแต่มองออกไปนอกห้อง เอิ่ม!! มืดมากหยิบ โทรศัพท์ ตอนนั้นใช้รุ่น Panasonic GD55 มาดูปรากฎว่านาฬิกายังคง 03:15 นาที เราก็เอ้อ บ้าบอมากเดี๋ยวป้าทิ้งเลย พอหยิบขึ้นมาก็คิดได้ว่า เราถอดถ่านออกแล้วนี่นา บวกกับหิวน้ำเลยเดินออกมานอกห้องตรงชั้น 2 ระหว่างบันไดก็มีตู้เย็นเลยหยิบน้ำมาดื่ม ซึ่งชั้นนี้จะเป็นกระจกใสประมาณครึ่งตัวยังไม่ติดม่าน เรามองออกไปเห็นพระบิณฑบาต แต่พระไม่เห็นเราแต่เราไหว้ท่านแล้วกลับขึ้นมานอน จนเช้าวันนั้นสรุป ตื่นสาย งัวเงีย พลาดไฟลท์บินเลยขอลาพักร้อนเลย
คืนที่ 2 ทานข้าวเสร็จ ดูทีวีเสร็จก็พากันเข้านอน ตอนนั้นก็เจอเหตุการณ์แบบเดิมอีก แต่ไม่เอะใจ แต่ครั้งนี้พระเดินนำหน้า จีวรขาดๆ และมีหมาดำวิ่งตามหมาตัวนั้น บรรยากาศตอนนั้นนิ่งเงียบสงัด แล้วพระก็หันมามองเราในบ้าน เราเลยรีบวิ่งเข้าห้องนอน และเราก็ไม่ได้เจออะไรอีก จนวันต่อไป เป็นทีของคุณแม่ค่ะ
คืนที่ 3 แม่ก็เข้านอนปกติ เรามานอนรวมกันห้องเดิม คืนนั้นหลับสนิท มีพ่อคนเดียวนอนไม่หลับ บ่นๆว่ารู้สึกแปลกๆเหมือนจะไม่สบายครั่นเนื้อครั่นนตัว พ่อจึงทานยานอน แต่คุณแม่ก็เป็นคุณแม่บอกว่าลูกนอนเลยนะ สักพักแหละ เราเลยนอนค่ะ
ทุกคนหลับหมด แม่บ้านที่มาช่วยขนของก็มาขอนอนห้องพักชั้นล่างด้วย ตกดึกแม่บ้านมาเคาะห้องบอกว่าเห็นพระท่านมาวนเวียนหน้าบ้านตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แต่กลัวเป็นพระปลอมไม่กล้าเปิดประตูรั้วให้เข้ามา ทำไงดีเจ๊ คุณแม่เลยบอก ลองเดินไปถามท่านว่ามีที่พักไหม ท่านฉันอะไรหรือยังถ้ายังแอบถามเป็นนัยๆว่าทานอะไรไม่ได้ ตอนเช้าจะได้ทำถวาย ตอนนั้นเราก็ตื่นพอดีเลยเดินตามป้าแม่บ้านออกไป พบว่าพระไม่อยู่แล้ว เราเลยบอกว่าปล่อยเค้า ล๊อกบ้านให้ดี เชื่อใจใครไม่ได้ค่ะป้าอ้อย ถ้ามาอีกปลุกทุกคนเลยนะคะ จะได้ไปถามท่านเผื่อมีอะไรช่วยเหลือและป้าก็ระวังด้วย
ประมาณตี 3 ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเรื่องเล่าจากคุณแม่แล้วค่ะ คุณแม่เล่าว่า…..ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ทุกคนหลับหมดป้าอ้อยก็หลับ ครั้งนี้แม่ก็เลยเดินลงมาเห็นพระมาเคาะประตูอยู่ หน้าตาดุดัน พาหมาดำมาด้วย จีวรขาด แต่แม่ก็ไม่ได้คิดอะไร ยกมือไหว้ถามว่า มีอะไรให้ช่วยไหม ดึกแล้วท่านมีที่พักไหม พระก็ตอบว่า “เปิดประตูสิ”
แม่เลยล้วงมือไปล็อกประตูเหล็กดัด แล้วเปิดประตูไม้ออกมา ก็ได้กลิ่นเหม็นสาปจากพระแรงมาก หมาก็มีกลิ่นเหม็นชวนอ้วกเช่นกัน แต่ในใจคิดว่าอาจจะเพราะท่านธุดงค์มาไกลจึงไม่ได้รักษาความสะอาด แม่จึงถามต่อว่า พระจะจำวัดที่บ้านดิฉันก่อนไหมคะ ดิฉันจะให้แฟนฉันตระเตรียมที่พักให้จะได้ไม่ต้องไปลำบาก
“กูหิว” พระกล่าว
“ฉันตอนนี้ไม่ผิดหรอคะ ดิฉันก็ไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวา แต่ตอนนี้ดิฉันว่ากาแฟ กับนมน่าจะเหมาะนะคะท่าน” แม่พูด
“ก็กูหิว ขอกินหน่อย หมาก็หิว จะให้กินไหม”
“กินอะไรคะท่าน ดิฉันไม่มีอะไรให้ท่าน”
“เปิดประตูสิ ขอเข้าไปพัก จะยอมไหม”
ตอนนั้นแม่ก็นึกในใจว่า คนโบราณกล่าวไว้ว่า อย่าชวนให้ใครเข้าบ้านตอนดึก แต่เป็นพระจะให้ทำไง ท่านต้องมาจากแดนไกลลำบาก เลยหลุดปากไปว่า “เชิญเข้ามาก่อนค่ะท่าน เดี่ยวปลดล๊อกประตูให้”
แต่แม่ยังไม่ทันจะปลดล๊อก หมาดำก็วิ่งเข้ามาจากไหนไม่รู้ ตามันสีแดงเหมือนในหนังเลยค่ะ มันขู่แม่ด้วย แต่แม่ก็พยายามปลอบมัน (ส่วนตัวแม่ไม่ได้ชอบสุนัข แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ) เลยปลอบมันว่า “สบายๆนะเจ้าดำไปนอนเล่นพักผ่อนๆ” แล้วอยู่ๆพระก็เข้ามานั่งตรง โซฟาซึ่งแม่จำได้ว่าประตูยังไม่ได้เปิดเลย
พระเดินมาหาแม่ แม่ก็ยกมือไหว้และคุยด้วยตามธรรมเนียม แล้วถามพระว่า
“ท่านดื่มนม กาแฟ หรือชาไหมคะท่าน”
“กูไม่กิน กูอยากกินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่น้ำ กูหิว มีอะไรสดๆไหม”
แม่ก็งงนะคะ คือพระอะไรจะฉันตอนดึกๆ จึงตอบไปว่า “ไม่มีค่ะ พึ่งย้ายมาค่ะ”
“เอ่า ไปเรียกลูกสาวลงมา หิว”
แม่รู้สึกตะลึงคำนี้มากค่ะ จึงตอบไปว่า “ไม่เจ้าค่ะน้องนอนอยู่”
“ไปเรียกลงมา หิวมากตอนนี้หรืออยากตาย”
พอสิ้นคำนี้แม่ก็ร้องลั่นบ้านเรียกทุกคน แต่สิ่งที่ได้คือ “เงียบ” แม่วิ่งขึ้นชั้น 2 แต่ห้องนอนล๊อก ซึ่งตอนนี้แม่มั่นใจแล้วว่าไม่ใช่คน คิดว่าตัวรอดจากสิ่งนั้นอย่างไงดี จนนึกถึงพ่อกับเราที่นอนอยู่ในห้อง ซึ่งเรากับพ่อจะชอบใส่พระ แต่แม่ก็อดห่วงพี่อ้อยไม่ได้ จึงวิ่งลงมาชั้นล่าง พอเห็นพี่อ้อยหลับ และไม่มีทีท่าว่าหมาดำจะเข้าไปในห้องพี่อ้อยจึงรู้สึกสบายใจ แต่ตอนนั้นแม่จำได้ว่าหลังบ้านจะมีไซต์งานที่ทำบ้านโครงการนี้ยังอยู่และขายส้มตำไก่ย่างแบบรถเข็น แต่พอแม่จะวิ่งไป หมาดำมันก็เข้ามางับผ้าถุงแม่ พระก็เข้ากระชากมือ และลากแม่เราไปประตูข้างบ้าน เพื่อจะลากออกไปนอกบ้าน
ตอนนั้นแม่ก็ร้องเสียงดัง เอามือปัดอย่างเดียวจนไปถึงหลังบ้าน แม่ก็นึกขึ้นได้ว่า เคยไปเที่ยวปทุมธานี ตอนนั้นไปทัวร์วัด 9 วัดกับกลุ่มแม่บ้านและได้ยันต์มาผืนนึง จากวัดศาลเจ้า ปทุมธานี เลยพยายามรีบเอามือปัดมือพระออก แต่มือพระแข็งมาก ผลักจนแม่ล้ม แล้วเอาเท้าเหยียบเอว จนแม่ปวดมาก ทำอะไรไม่ได้ แม่ใช้แรงที่มีถีบพระออกไปนอกบ้าน ถีบหมาดำแบบไม่สนใจว่าจะเป็นไง จนหลุดมาได้ ก็รีบวิ่งไปหยิบผ้ายันต์ซึ่งอยู่ในลิ้นชักเก็บมีด แล้วประตูหลังบ้านซึ่งอยู่ตรงข้างเค้าเตอร์ก็เปิด ครั้งนี้สิ่งที่เห็นคือ
พระมีนัยตาสีแดง มีน้ำลายไหลตลอดเวลา หมาดำที่ว่าไม่มีแล้วนะคะ มีแต่แม่ชี ที่มีแต่บาดแผลเต็มตัว ทั้งสองตนทำท่าเลียริมฝีปาก แม่เลยยกผ้ายันต์ขึ้นมา เชื่อไหมคะ จากที่แม่ไม่เคยเชื่อเรื่องเจ้าศาลเจ้า เทพเจ้าอะไรเลย (แต่ไม่คิดลบหลู่) เชื่ออย่างเดียวคือ พระพุทธเจ้า และกิจกรรมทางศาสนาพุทธเท่านั้นค่ะ
ตอนนั้นแม่ยกผ้ายันต์ขึ้นปรากฎว่า ทั้งพระทั้งแม่ชีถอยห่างออกไป แม่จึงได้โอกาสล๊อกประตูและตะโกนออกไปเต็มแรงว่า ออกไปจากบ้านกู จนทั้งแม่ชีและพระก็หายไปเลยค่ะ แต่เพื่อความแน่ใจ แม่เลยเปิดประตูเดินออกไปดู มองผ่านกำแพงบ้านไป ก็เห็นป้าบุญศรีร้านส้มตำ ที่เข็นรถขายทุกเช้ากำลังนั่งสับไก่อยู่
แม่เลยถามว่า “เมื่อกี้เห็นพระไหม ฉันเจอมากับตัวน่ากลัวมาก” แล้วจู่ๆป้าบุญศรี ก็วิ่งเข้าบ้านบอกว่า “คุณมันอยู่ข้างบ้าน รีบเข้าบ้านเร็วมันมาแล้ว” แล้วสิ่งที่แม่เห็นคือมันมากันอีกแล้วค่ะ ครั้งนี้มาเต็มรูปแบบ มีเขี้ยวน่ากลัว เนื้อตัวมีแต่หนองเลือด สกปรกมาก ยิ่งแม่ชีกลิ่นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว แล้วแม่ดันวางผ้ายันต์ไว้บนเค้าท์เตอร์ในบ้านซะด้วย พอก้าวขาจะวิ่ง แม่ชีก็กระชากผมแม่ จนแม่เจ็บมาก พระก็มาบีบคออีกตน ตอนนั้นความรู้สึกของแม่คือ เหมือนจะไม่มีสติ แต่ได้ยินเสียงพูดเป็นภาษาอิสานว่า
“ไปซอยแหน่เผื่นสิตาย ไปเถอะ หมุ่บ้านนี้สร้างบนความลำบากเฮาแต่เผิ่นบ่ฮู้แค่คนมาซื้อมาอยู่ เอาบุญเด้อศรี”
“ไปหยิบมาก่อนเผิ่นสิบ่อยู่นำเฮา ไปฟ่าวว”
ตอนนั้นตาแม่ปิด…..ได้ยินเสียงโวยวายดังมากก่อนที่แม่จะหมดสติไปจริงๆ
ตื่นเช้าแม่ก็พบว่าตัวเองอยู่ รพ.เอกชน คุณพยาบาลบอกกับแม่ว่าโดนเพื่อนบ้านบีบคอทำร้าย
“แล้วเขาอยู่ไหน” แม่ถาม
คุณพยาบาลตอบว่า “ฝากขังที่….. ค่ะ”
แม่เรารีบนึกเหตุการณ์ แล้วรีบโทรหาพ่อเลยค่ะ ให้โทรตามน้องชายซึ่งเป็น ตำรวจอยู่ที่นั้น ว่าจะรีบไปเคลียร์ก่อน โดยห้ามขังเค้าเด็ดขาด
พ่อกลับตอบมาว่า “จะช่วยทำไม เขาทำร้ายเรา”
แม่บอกว่า “ไม่ใช่พี่ เค้าช่วยเรา รีบไปก่อน”
ซึ่งแม่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก มีอาการเพลียเล็กน้อย จึงโทรตามให้เรามารับ พอไปถึงโรงพักปรากฎว่า เจอสองผัวเมีย คือป้าบุญศรีขายไก่ย่างส้มตำและสามีแก พอแม่เห็นป้าบุญศรีก็รีบไหว้ขอโทษเลยค่ะ แต่เชื่อไหม คนดีมีน้ำใจต่อให้เราพลั้งทำผิดกับเขา เขาก็ให้อภัยแม่เรา ทั้งสองคนไม่ว่าอะไรแม่เลย แม่ก็เลยไม่พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเข้าใจผิด และน้องชายแม่ที่เป็นตำรวจก็เคลียร์เรื่องให้
ค่ำวันนั้น แม่ก็ลองออกมาดูที่ระเบียง ก็ยังเจอเหมือนเดิม แต่พวกมันเข้าบ้านไม่ได้ และไม่รู้ทำไงกับพวกมันดี แต่ด้วยความที่แม่รู้จักเพื่อนบ้านดีๆคนนึง จึงไปปรึกษา เขาบอกให้แม่ทำบุญบ้านหน่อย หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไว้รอบๆบ้าน แม่ก็ลองทำตาม ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เห็นอีกเลยค่ะ
แต่กลับกลายเป็นป้าบุญศรีที่เห็นแทน ในทุก ๆ ตี 4 ป้าแกจะลุกมาสับไก่ แกบอกว่าเห็นพวกมันล่องลอยไปมาจนป้าแกชิน ป้าบอกว่า คนแถวนั้นไม่มีใครเห็นเลย เขาคิดว่าแม่เราดูละครเยอะ บ้า งมงาย แต่ป้าบุญศรีกลับบอกว่าดีแล้ว อย่าให้คนอื่นซวยเหมือนเราเลย
ขอคุณที่มา ShadowsAndLights