เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2544 ผมจำวันเดือนปีไม่ได้แน่ชัด เพราะมันนานมากแล้วและผมก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพนานพอสมควร จำได้แค่ว่าตอนนั้นมีงานวัดประจำปีของวัดหนองโว้ง เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้มีสถานที่แน่ชัดและมีอยู่จริงเขียนจากชีวิตจริงของผมในวัยเด็ก
ผมเป็นคน ต.ท่าทอง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่อ หมู่บ้านหนองป่าตอ และบ้านก็อยู่ใกล้วัดหนองป่าตอ เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างไกลเมือง หนึ่งเดียวแห่งความภาคภูมิใจคืออยู่ใกล้สนามบินของการบิน ไทย
อาชีพหลักๆของคนที่นี่ก็จะมีทั้งทำไร่ ทำนา ทำสวนแต่หลักๆจะเป็นสวนกล้วยตานี (ขายใบตอง) สวนละมุด (มีเยอะมาก) และมีมะปรางบ้าง มะยงบ้าง กระท้อนบ้าง มะม่วง มะพร้าว แซมในบางสวน หากใครเป็นคนสวรรคโลกและอาศัยอยู่แถว ต.ท่าทอง ต.คลองกระจง ต.วัดเกาะ (เขต อ.ศรีสำโรง) คงจะพอนึกภาพออกสมัยนั้นทางลาดยางหรือปูนเสริมเหล็กก็จะมีแค่ทางสายหลักส่วนทางสายรองก็จะเป็นลูกรังเป็นดินสลับกันไป
ผมในตอนนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.ต้น กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่นแม้ฐานะจะเข้าขั้นหาเช้ากินค่ำ แต่ก็มีแฟนคนแรกกับเขาเหมือนกัน ทุกๆคนคงจะรู้ดีว่าอานุภาพแห่งความรักมันรุนแรงแค่ไหน ผมไปโรงเรียนแฟนก็มาคุยว่า คืนนี้เธอจะไปเที่ยวงานวัดหนองโว้ง (หากใครอยู่แถบนั้นจะต้องรู้จักงานวัดหนองโว้งแน่นอน) เป็นงานวัดที่ใหญ่และดังที่สุดในละแวกนั้นจัดทุกปี มีมหรสพมากมาย แฟนผมอยากเจอผมในงาน (มันก็เรื่องธรรมดาของหนุ่มสาวบ้านนอกในสมัยนั้นที่จะเจอคนรักในตอนกลางคืนได้ที่งานวัด)
ผมก็งานเข้าสิ เพราะผมเองฐานะไม่ค่อยดี เงินก็ไม่ค่อยมี แถมพาหนะที่จะไปไหนมาไหนได้ไกลๆ ในตอนนั้นก็มีแค่จักรยานคันใหญ่ๆของยายคันเดียวประจำบ้าน ผมเองก็ถีบได้แต่ต้องยืนถีบไปตลอดทาง งานวัดหนองโว้งผมต้องอาศัยดวงไม่น้อย ในการที่ยายจะพานั่งรถสามล้อเครื่องไปเที่ยวเหมือนบ้านอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้ไปตอนกลางวันเป็นหลัก เพราะทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยวและไกลพอสมควร แล้วคืนนั้นที่แฟนนัดเจอผมที่งานวัด ผมก็ซวยเพราะยายพาไปตอนกลางวันแล้ว
ความที่อยากเจอคนรักทำให้ผมเกิดความใจกล้าบ้าบิ่น จะเอารถจักรยานยายไปคงโดนแกด่าเปิงแน่เลยตัดสินใจเดินไปก็ได้วะ ลองมาดูแผนที่ต่อไปนี้ครับนี่คือแผนที่จากบ้านผมไปวัดหนองโว้งคุณลองนึกภาพ ป่ากล้วยตานี สวนละมุด มะปราง มะพร้าว ให้เต็มแผนที่นี้ดูครับ กลางวันยังพอทำใจกลางคืนนั้นเล่าให้เดินไปเขย่าประตูเมรุวัดหนองป่าตอยังดีเสียกว่าอีก
เส้นทางที่มีบ้านคนไปตลอดทางมี 2 ทางคือ
1.ทางสายสีแดง ซึ่งเป็นทางขนาดใหญ่ มีบ้านคนตลอดทาง
2.ทางสายสีเหลือง มีบ้านคนตลอดทางเช่นกัน
แต่ทั้ง2ทางที่กล่าวมานั้น แม้จะไปได้อย่างสะดวกสบาย แต่ไม่เหมาะสำหรับเดินเพราะมันอ้อมไกล
และอีกทางคือทางสายสีดำ สมัยนั้นยังเป็นทางลูกรัง ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าคอนกรีตเสริมเหล็กหรือยัง ทางสายสีดำจะมีบ้านบ้างประปรายตรงต้นทาง แต่พอกลางสายไปก็จะคดเคี้ยว วกวนไร้บ้านอุดมไปด้วยความทะมึนวังเวงของป่าละมุด ที่ผมเรียกว่าละมุด 100 ปี เพราะแต่ละต้นสูงเหมือนเปรตโยงโย่ ยิ่งถ้าเดินคนเดียวในทางสายสีดำตอนกลางคืนนะ คุณเอ้ย..นั่งรถไปกันหลายคนยังเสียววูบๆ
ดังนั้นผมหนุ่มน้อยผู้มีจุดหมายอันแรงกล้าที่ต้องไปให้ถึงจุดหมาย จึงตัดสินใจใช้เส้นทางสีฟ้า(รอยประ)
จริงๆมันไม่ใช่ทาง แต่มันเป็นสวนละมุดปนสวนกล้วยตานี เหตุที่เลือกจะเดินตัดลัดไปแบบนี้ เพราะน่าจะถึงไวสุด และเป็นสวนที่เจ้าของพึ่งลงมือปลูกพืชพรรณอายุไม่กี่ปี จึงมีความโล่งไม่น่ากลัวเหมือนโซนทางสีดำ
ผมก็ออกเดินกึ่งวิ่งไปในความมืด ที่ต้องรอให้มืด ก็เพื่อไม่ให้ยายรู้ว่าเราแอบหนีเที่ยว ผมในวัย 14 ปีเอาหน้าแฟนมาข่มความกลัวทั้งหมด เดินตัดลัดเลาะไปตามแนวป่าผลไม้และต้นกล้วยตานีที่ยืนต้นทะมึนไหวๆ จนบางครั้งต้องหันควับไปมอง แต่ไคลแม๊กซ์ของการเดินในครั้งนั้นคือการต้องไปบรรจบกับทาง (วงกลมสีชมพู) อันมีเสียงลือเล่าอ้างจากทวดที่เคยเล่ากรอกหูผมว่า “ตรงนั้นมีผีหัวขาด…ชื่อผีตาปุ่น”
ทวดเล่าว่าสมัยทวดยังหนุ่มๆสาวๆ ตรงนั้นยังเป็นแค่ทางดินเล็กๆเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ตาปุ่นแกเป็นคนรวย แกมักไปมาหาสู่แม่ม่ายคนท่าทองโดยใช้เส้นทางนั้นประจำ แกก็ขี่จักรยานของแกอยู่แบบนั้นเป็นปีไม่มีอะไร แต่วันนึงมีคนไปพบตาปุ่นนอนตาย และที่น่าหวาดกลัวคือ ตาปุ่นหัวเกือบขาดเพราะโดนฟัน เป็นที่น่าสยดสยองมาก ทรัพย์สินก็หายไปจนหมด เหลือแต่จักรยานคู่ใจ
พอตาปุ่นตายโหงไป ก็มีคนเจอดีตอนไปเที่ยวงานวัดหนองโว้ง เดินๆอยู่เห็นมีคนเดินนำหน้า ก็อุ่นใจคิดว่ามีเพื่อนร่วมทาง พอเดินเข้าไปใกล้เห็นชัดๆกับตา กลางคืนเดือนหงายว่า เห็นเป็นตาปุ่นมาเดินหัวร่องแร่งในสภาพตอนตายเลย คนเห็นก็ได้แต่วิ่งแหกปากลั่นป่าตอนกลางคืนไป แรกๆคนก็ว่า คนที่เจอคนแรกกุเรื่องหลอกคนอื่น คราวนี้เจอกันเป็นหมู่คณะ เพราะสมัยนั้น เวลาไปไหนมาไหน คนรวยจะขี่จักรยาน คนจนก็เดินเท้ากัน ถ้าไปกลางคืนอย่างไปงานวัดหนองโว้ง ก็จะจับกลุ่มกันเดิน
คิดว่าเดินกันเป็นกลุ่มจะรอดหรือ เจอตาปุ่นหลอกกระเจิงทั้งกลุ่มไปคนละทิศละทางสิ ทวดบอกว่าคณะที่เดินไป ขาไปไม่มีไร ขากลับดึกๆน้ำค้างลงยอดหญ้า คณะเที่ยวงานเดินมาถึงจุดที่ตาปุ่นตาย ลมเย็นๆกลางคืนหวิวๆ เสียงถีบจักรยานดังตามหลังมา เอี๊ยดอ๊าด เอี๊ยดอ๊าด ได้ยินกันทั้งกลุ่ม จะรออะไรละวิ่งกันผ้าถุงหลุด
แล้วผีตาปุ่น แกก็ขยันออกมาพบปะผู้คนที่สัญจรผานทางนั้นเหลือเกิน เป็นที่เลื่องลือ จนคนในยุคนั้น ไม่กล้าผ่านทางสีชมพูกันอยู่พักใหญ่ แล้วผีตาปุ่นก็ค่อยๆเลือนหายไปจากคนรุ่นใหม่ๆที่ขึ้นมาแทนที่ พร้อมความเจริญของถนนจากถนนดินกลายเป็นลูกรัง แต่ก็มีเสียงลือกันว่า ตาปุ่นยังไม่ได้ไปไหนหรอก วันดีคืนดี แกก็โผล่ออกมาถีบจักรยานให้เห็น เพียงแต่นานๆจะโผล่มาให้เห็น ถ้าคนที่กลัวๆผี หัวเด็ดตีนขาดจะไม่ยอมผ่านทางสีชมพูเลย เว้นแต่พวกที่ไม่รู้ประวัติ
อันตัวผมนั้น แม้จะรู้ประวัติ แต่ก็คิดว่า คงเป็นนิยายที่ทวดเอามาหลอกเด็กมากกว่า แต่พอยิ่งใกล้ถึงทางสีชมพู ก็ยิ่งรู้สึกใจหวิว คิดเอาเอง นึกเอาเองอยู่ในใจ เริ่มปอดๆ แต่ก็ต้องไปให้ถึง พอถึงทางสีชมพู ผมก็เร่งฝีเท้าเดินเกือบๆวิ่ง เพื่อจะรีบไปให้ถึงทางสายสีดำ ตอนนั้นก็บุกป่ามาเหนื่อยแล้ว เลยคิดจะเดินตามทางดีกว่า โชคยังดีบ้างที่เป็นช่วงหัวค่ำ เพราะจะมีรถสามล้อเครื่อง มอไซค์บ้างผ่านมาเป็นระยะๆเพื่อไปงานวัดหนองโว้ง พอมีรถมา ผมเองก็จะหลบลงข้างทางเพราะอาย ที่มาเดินอยู่แบบนี้
ขาไปก็สะดวกโยธินไม่มีปัญหาอะไร ได้ไปเจอหน้าแฟนในงาน แฟนก็ปลีกตัวจากครอบครัว แอบมาเดินกับผม ความรักเมื่อผ่านความลำบากมาพบเจอมันมีความสุขแบบนี้นี่เอง เราไปนั่งดูลิเกด้วยกัน นั่งชิงช้าสวรรค์ ปาโป่ง เดินดูของในงาน ผมเองก็ทำงานขึ้นละมุดมา เลยพอมีเงินเก็บอยู่บ้างเพื่องานนี้
เวลาแห่งความสุขผ่านไปไวมาก เกือบๆเที่ยงคืน แฟนผมต้องกลับบ้านกับครอบครัว ส่วนผมก็ต้องกลับบ้านเช่นกัน ผมก็ออกเดินเหมือนตอนมา อีตอนกลับนี่ล่ะครับ หนักกว่าตอนมา เพราะเป้าหมายแรงใจเราไม่มีแล้วไง
ผมเลือกกลับทางเดิม อัญเชิญหลวงพ่อจากคอมาไว้ในมือ ผมเลือกที่จะเดินไปแบบมืดๆบนทางสีดำนั้น เพราะไม่อยากให้คนที่อาจจะกลับเหมือนกันโดยรถเครื่อง พบเจอผม ((อายครับเพราะเราจน มาเดินอยู่แบบนั้น))
พอมาถึงจุดเชื่อมกับถนนสีชมพู ที่ทวดเคยเล่าให้ฟัง ความมืดและวังเวง ก็ทำใจผมเต้นตึกๆๆๆๆหน้าชา ผมเดินไปในความมืดเเงียบๆ มือเย็นเฉียบ คิดในใจ นี่กูมาทำอะไรวะเนี่ย (ความที่อยากเดินกลับถึงไวๆเลยกล้าๆใช้ทางนี้))
พอถึงทางสายสีชมพู ผมก็วิ่งครับ วิ่งแบบเต็มเหยียดเลยเพื่อไปให้ถึงทางตัดเข้าสวน สายสีฟ้าไวๆ พอซอยยิกๆกำลังจะถึงโค้ง เห้ยยยยยย เงาใครข้างหน้ากูวะ
ผมชะลอฝีเท้าเลยครับนาทีนั้น ใจหายวูบ มันเงาคนแน่ๆที่อยู่ข้างหน้าไปไม่ไกล เห็นในความมืดว่ามีเงาใครกำลังปั่นจักรยาน เพียงแต่ไม่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเท่านั้นแหละ
คุณเคยกลัวอะไรแบบจัดๆไม๊ อารมณ์ผมตอนนั้นไม่ต่างเลยครับ ขาแข็งทันทีเหมือนโดนสาบ ยืนกางขามือไม้สั่นมองเงานั้นไหวๆในความมืด ผมก็แบบครางออกมาเบาๆล่ะนะ ตาปุ่น อย่าหลอกผมเลย ผมกลัวแล้วครับตา จะทำบุญไปให้นะครับ ตอนนั้นเงานั้นก็ยังไม่หายไปนะครับ ยังปั่นห่างผมออกไปเรื่อยๆ เงากล้วยตานีที่มีเป็นดงทะมึน โบกไหวไปมาคล้ายๆเงาปิศาจที่โบกไหวมือล้อผม ผมแทบหยุดหายใจ เพราะเงามันชัดๆแบบนั้น นึกถึงคำเล่าของทวดแล้วใจหายวูบบบบ แล้วผมก็เห็นเงานั้น ปั่นหายเข้าไปในดงกล้วยตานีตรงโค้งครับ
เท่านั้นแหละ หายสงสัยแล้วว่าใช่หรือไม่ใช่ ผมก็แหกปากร้องลั่นกลางดึกสนั่นทาง ผีหลอกกกกกกกกกกก ผมไม่ไปแล้วทางลัด แหกปากร้องวิ่งกลับไปทางเก่า ความไวน่าจะสูสียูเซน โบลท์ ผมวิ่งพร้อมแหกปากแบบนั้นไปจนถึงถนนสายสีดำ คือตอนนั้นผมไม่กลัวต้นละมุด100ปีแล้ว กลัวตาปุ่นที่ปั่นจักรยานหายไปต่อหน้าต่อตาเมื่อกี้มากกว่า ผมก็กะว่าจะวิ่งตามถนนสีดำ ไปขึ้นถนนใหญ่ สายสีแดง เน้นเอาบ้านคนไว้เพื่อความอุ่นใจดีกว่า ไกลช่างแมง วิ่งมาได้เกือบถึงทางใหญ่สายสีแดงก็เหนื่อย นั่งหอบแฮกๆเป็นหมาอยู่ข้างทาง
มีรถสามล้อเครื่อง วิ่งสาดไฟตามหลังมา ผมหมดแรงจะหลบ เลยยืนย่อเข่าเพื่อหอบ พอรถมาถึงเขาก็จอดฝึบข้างผม ถามผม “เอ้า มายังไงกันละนี่ไอ้หนู คนที่ไหน” ผมบอกไปว่า “หนองป่าตอ” “อ่อ ทางผ่าน” เขามาจากหนองชุมแสง ก็เลยได้อาศัยรถเค้า มาลงที่หน้าวัดหนองป่าตอ เขาก็ฮือฮากันว่าผมกล้ามากที่เดินมางานวัดคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้
ครับ เพราะกล้านี่ไง เลยโดนผีตาปุ่นเล่นงานมาเมื่อกี้ หลอกกันเห็นๆคาตา ผีแน่ๆปั่นจักรยานนำหน้าตามตำราทวดว่ามาเป๊ะ แถมเห็นว่าหายเข้าไปในดงกล้วยตรงโค้งอีก โอ้ยยยย ตาปุ่นเอ้ยตาปุ่นหลอกแม้กระทั่งเด็ก
คืนนั้นผมกลับมาถึงบ้านด้วยความเพลีย ก็แอบย่องขึ้นบ้านเงียบๆก่อนจะไปนอน ตื่นเช้ามา ผมก็ทำตัวปกติ ไม่กล้าเอาเรื่องที่ไปเจอตาปุ่นหลอกไปเล่าให้ใครฟัง ถ้ายายผมรู้ว่าหนีเที่ยวขาลายแน่ ผมก็ไปนั่งช่วยยายปอกเปลือกปอกระสาครับ มียายโอมาหายายผม เขาก็นั่งคุยกัน ผมก็แอบฟัง
ยายโอบอกยายผมว่า มีคนท่าทองหามตาหยิบพามาส่งที่บ้านเมื่อเช้า ถามได้ความว่า เมื่อคืนแกไปเมามาจากวัดหนองโว้ง ขากลับแกก็เดินๆ จูงๆ รถจักรยานกลับบ้าน
พอถึงทางที่ผีตาปุ่นเคยอาละวาด แกเกิดกลัว เลยพยายามปั่นจักรยานทั้งที่เมาเผละ ผลคือ ตาหยิบคุมรถไม่ไหว เพราะเมามาก เลยพุ่งเข้าไปนอนในกอกล้วยตานีให้ยุงดูดเลือดมาทั้งคืนยันเช้า
คนท่าทองผ่านไปเห็นแกนอนในดงกล้วย พร้อมจักรยานคู่ใจ เลยพามาส่งหนองป่าตอ พอตาหยิบสร่างเมา ก็เพ้อว่าเห็นเงาคนตามหลังแกมา แกคิดว่าต้องเป็นผีตาปุ่นที่เคยหลอกคนที่ผ่านมาทางนั้นแน่ๆ แกเลยพยายามขึ้นจักรยานเพื่อจะปั่นหนี แต่แกไม่มีเรี่ยวแรงพอ เลยบังคับรถไม่ได้ เลยพุ่งเข้าไปในกอกล้วยตานี แล้วแกก็มารู้สึกตัวอีกทีตอนเช้า ตอนมีคนไปเขย่าตัวแกนั่นแหละ
แกบอกผีตาปุ่นเฮี้ยนจริงๆ ออกมาเดินตามตาหยิบเห็นจะจะเลย พอผมฟังยายโอเล่าเสร็จ ผมก็นั่งพูดกับตัวเองว่า หืมมมมมมมม..แมงเอ้ย
ที่มา รักน้องฟางฟางไหนฟางที่อยู่ยะลาไง