เรื่องลี้ลับนี้เกิดขึ้นที่สถาบันแห่งนึง เป็นเรื่องที่ผู้เล่านำมาจากรุ่นพี่อีกต่อนึง เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งเกิดนึกสนุก อยากศึกษาเรื่องกายวิภาคศาสตร์นอกห้องเพิ่มเติม จึงแอบนำชิ้นส่วนของอาจารย์ใหญ่บางชิ้นส่วน กลับไปที่หอพักของตนเองด้วย
ชิ้นส่วนของอาจารย์ใหญ่ที่นักศึกษาชายคนนั้นได้นำออกจากห้องปฏิบัติการไป คือชิ้นส่วนตรงกระดูกแขน โดยนำใส่กระเป๋าตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไปทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อนักศึกษาคนนั้นกลับมาถึงห้อง ก็เปลี่ยนชุดแล้วลงไปทานอาหารต่อ ซึ่งอยู่ด้านนอกมหาวิทยาลัยกับเพื่อนๆ
พอหลังจากกลับมาที่ห้อง อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว นักศึกษาชายคนนั้น ก็ไม่วายที่จะนำชิ้นส่วนตรงกระดูกแขนของอาจารย์ใหญ่ขึ้นมาดู และด้วยความเป็นคนขี้เล่น ขี้อำ ของเขา จึงคิดแผนการดีๆ ที่จะแกล้งอำเพื่อนร่วมห้องให้ตกใจเล่น โดยเขาวางแผนจะนำชิ้นส่วนตรงกระดูกแขนของอาจารย์ใหญ่ ผูกไว้กับเชือกแขวนป้ายรับน้อง แล้วก็นำไปแขวนไว้ที่โคมไฟกลางเพดานห้อง เพื่อให้เพื่อนร่วมห้องพอเปิดเข้ามาเห็นแล้วตกใจ
แล้วเขาก็เริ่มลงมือแขวนชิ้นส่วนของอาจารย์ใหญ่ จากนั้นก็ปิดไฟห้อง แล้วปิดประตูเดินออกมาทำยังกับไม่มีอะไร
เวลาประมาณ 5 ทุ่ม นักศึกษาชายคนนั้นคิดว่าเพื่อนของเขาน่าจะกลับเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาที่หอ สังเกตได้ว่าภายในหอเวลานั้นเงียบสงัด มีอยู่ไม่กี่ห้องที่เปิดไฟอยู่ แต่ในชั้นที่นักศึกษาชายคนนั้นอยู่กลับมืดสนิท
เขาค่อยๆ เดินฝ่าความมืดมาตามทางเดิน อาศัยแสงไฟสีส้มสลัวๆ ตรงสวนข้างๆ อาคาร พอให้มองเห็นทางได้บ้าง
เมื่อเดินมาถึงที่ห้อง เขาเหลือบไปเห็นรองเท้าเพื่อนร่วมห้องที่วางอยู่หน้าห้อง เริ่มสังเกตความผิดปกติได้ว่า วันนี้ทำไมเพื่อนเขาถึงได้นอนเร็วกว่าปกตินะ เพราะทุกคืนกว่าจะเข้านอนก็ตีสองตีสาม
เขาจึงไขกุญแจเปิดประตู พร้อมเรียกเพื่อนร่วมห้องของเขา แต่กลับไม่มีเสียงขานรับแต่อย่างใด
และพอเขาเปิดไฟดู ปรากฏว่าในห้องตอนนั้น ไม่มีใครอยู่เลย ชิ้นส่วนตรงกระดูกแขนของอาจารย์ใหญ่ที่แขวนไว้กะจะแกล้งเพื่อนเล่น มันก็ดันหายไปด้วย
เขาจึงเดินออกจากห้องเพื่อไปตามหาเพื่อนร่วมห้องของเขา วิ่งไปดูที่ห้องโทรทัศน์ ห้องหนังสือ ห้องกินข้าว รวมถึงห้องเพื่อนคนอื่นก็ไม่มี
เขาตัดสินใจกลับไปที่ห้องตนเองอีกครั้ง แต่พอเขากลับไปถึงก็ต้องตกใจอีกรอบ เพราะไฟในห้องดันปิดอยู่ ทั้งที่ก่อนออกไปเขาแน่ใจว่าได้เปิดไฟทิ้งเอาไว้นี่น่า
เวลานั้นนักศึกษาชายคิดว่า หรือเพื่อนร่วมห้องของเขากำลังจะแก้แค้นเขาคืนแน่ๆ จึงสร้างสถานการณ์หลอนประสาทปั่นหัวเขาแบบนี้ เขาจึงตะโกนเรียกชื่อเพื่อนซ้ำอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องตอบกลับมา
สักพักก็มีเสียงกุกกักๆ ดังลอดออกมา เสียงนั้นดังมาจากตู้เสื้อผ้าของเพื่อนร่วมห้องของเขา
เขาจึงเดินเข้าไปดูที่ตู้เสื้อผ้า ซึ่งระหว่างนั้นเสียง..กุกกักๆ แก๊ก แก๊ก.. ก็ยังดังอยู่เป็นระยะๆ
ตอนนั้นเขาแว่บคิดขึ้นมา หรือเพื่อนร่วมห้องคงแอบอยู่ในนั้น แล้วรอแกล้งเขากลับคืนแน่ๆ เขาจึงได้ตะโกนใส่ตู้เสื้อผ้า ว่าไม่ต้องหลบหรอก ออกมาได้แล้ว แต่เพื่อนร่วมห้องของเขาก็ไม่ยอมออกมา
“มึงงอนกูหรอวะ ขอโทษนะ”
แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาอีก จนเมื่อเขาอดรนทนไม่ไหว ง้อก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว ทำให้เขาเกิดบันดาลโทสะ กระชากประตูตู้เสื้อผ้าอย่างแรงจนประตูไปกระแทกกับผนังห้องเสียงดัง แล้วภาพที่เขาเห็นในตู้เสื้อผ้า ก็ทำให้เขาถึงกับอึ้ง เพราะเขาเจอเพื่อนร่วมห้องของเขา กำลังนั่งแทะชิ้นส่วนตรงกระดูกแขนของอาจารย์ใหญ่อยู่อย่างเมามันส์
นักศึกษาชายคนนั้นตกใจอย่างมาก และพยายามจะคว้าชิ้นส่วนตรงกระดูกแขนของอาจารย์ใหญ่กลับคืนมา กะจะถามเพื่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม่ทำแบบนี้ แต่ยังไม่ได้ทันจะแย่งคืนมา เพื่อนร่วมห้องก็หันมาตะโกนคำสั้นๆ ว่า “ของกู ๆๆ..!!” แล้วนำมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือกระดูกอยู่ ก็ปิดประตูตู้เสื้อผ้าอย่างแรง ก่อนจะขบเคี้ยวชิ้นส่วนตรงกระดูกแขนของอาจารย์ใหญ่ต่ออย่างเมามันส์
หลังจากเหตุการณ์ในคืนวันนั้นผ่านไป นักศึกษาในหอจะได้ยินเสียงกรีดร้องยาวๆ เสียงนั้นแสดงถึงความเสียใจ หรือด้วยความสำนึกผิดต่อเพื่อนร่วมห้อง ก็มิอาจทราบได้
แต่เท่าที่ฟังเขาเล่า ว่าสุดท้ายแล้วนักศึกษาชายคนนั้นที่แกล้งเพื่อน ได้ออกจากมหาวิทยาลัยไปทันที ส่วนจะด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่มีใครทราบ
ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องของเขาที่โดนแกล้ง พอรุ่งเช้าก็พบตัวเขาสลบนอนพิงอยู่ในตู้ พร้อมกับชิ้นส่วนกระดูกปนเลือดตกอยู่ข้างๆ ตัว และเมื่อเขาฟื้นขึ้นมา ก็กลายเป็นคนบ้าเสียสติไปเลย จนไม่สามารถเรียนหนังสือได้อีกต่อไป
เรื่องนี้จึงกลายเป็นตำนานหลอนที่เล่าขานจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ในสถาบันแห่งนั้น เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ จะได้ไม่ไปคิดพิเรนทร์อะไรหรือเล่นแผงๆ แบบนี้อีก เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้ครับ
ขอบคุณที่มาสยองขวัญวาไรตี้