เรื่องราวเกิดขึ้นที่จังหวัดตาก ตอนนั้นผมทำงานเป็นพนักงานช่องเคเบิ้ลทีวีช่องหนึ่ง ซึ่งต้องไปออกกองและทำสารคดีอยู่บ่อยครั้ง มีอยู่วันหนึ่งผมได้ติดตามไปช่วยกองอาสาเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ที่จังหวัดตาก ภารกิจของวันนั้นคือไปบำเพ็ญประโยชน์เพื่อช่วยเหลือคนยากคนจนตามมูลนิธิ ซึ่งผมเป็นทีมงานก็ต้องตามถ่ายไปเรื่อย ตัวผมเองนั้นก็เป็นพิธีกรภาคสนามในช่วงนั้นด้วย
พวกผมนั่งรถตู้กันไป 12 คน พอเข้าตัวเมืองจังหวัดตาก ช่วงเวลา 6 โมง ต่างจังหวัดจะเริ่มมืดแล้ว พอช่วงประมาณ 1 – 2 ทุ่มกว่า ๆ ก็จะมืดสนิท เลยตัดสินใจกันว่าจะหาที่พักใกล้ๆก่อน เพราะการทำงานนั้นต้องแวะไปตามหมู่บ้าน ต่าง ๆ ทำให้แผนที่วางไว้เลื่อนไปบ้าง เราขับรถไปเรื่อยๆ จนเจอรีสอร์ทขนาดใหญ่อยู่ขวามือ เมื่อมองจากด้านนอกจะเห็นว่ามีห้องพักประมาณ 40 กว่าหลัง จึงตัดสินใจเลี้ยวเข้าไป
พอเลี้ยวเข้าไปในรีสอร์ทก็เจอน้องคนนึงกำลังจะไขล็อคประตูออฟฟิศด้านหน้า เพื่อจะกลับบ้าน ผมรีบจึงลงเข้าไปสอบถามราคา พอสอบถามราคาเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ตกลงราคากันที่คืนละ 400 ต่อห้อง ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก น้องพนักงานบอกว่า “วันนี้พาสามารถพักได้แค่ 3 หลัง ซึ่งเป็น 3 หลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ แต่พี่จะพักแน่ๆใช่ไหม ไปที่อื่นก่อนไหม” เนื่องจากมันมืด และพวกผมก็เพลียกันมากแล้ว ผมจึงตอบว่า “อืม แน่ มืดแล้วไม่รู้จะหาที่ไหนได้อีก” น้องพนักงานก็ถามย้ำอีกครั้ง “แน่ใจนะ ผมถามแล้วนะ” ตอนนั้นผมยังไม่คิดอะไร คิดแต่ว่าอยากพักเต็มที่แล้ว จึงตอบยืนยันและตกลงไป
ขอเล่าให้ฟังก่อนว่า ห้องเช่านี้ฝั่งขวาจะมีประมาณ 23 หลัง ส่วนฝั่งซ้ายมีประมาณ 20 หลัง และตรงกลางเป็นสวนหย่อม ระหว่างที่ผมกำลังเคลียร์ห้องกันอยู่ น้องที่ได้กุญแจห้องพักแล้วก็พากันไปเก็บของเข้าห้อง น้องบางส่วนที่พักห้องเดียวกับผม ก็ยังอยู่กับผม เพราะว่ากุญแจอยู่ที่ผม
พอเคลียร์เรื่องห้องเสร็จ ก็พากันเดินไปห้องพัก ผมก็สังเกตว่าห้องแรก ๆ ดูแล้วมันไม่น่าจะมีคนอยู่ ยังเหลืออีกหลายห้อง ทำไมถึงให้พวกผมไปอยู่ 3 ห้องสุดท้าย เพราะว่า 3 ห้องสุดท้ายนี้มันไกลจากด้านหน้ามาก แต่ก็จะมีห้องฝั่งตรงข้ามที่เปิดไฟไว้ คิดว่าน่าจะมีคนอยู่ พอมาถึงห้องต่างคนก็ต่างพากันเข้าที่พัก ส่วนผมและน้องๆบางส่วน ก็พากันขึ้นรถตู้ไปในเมือง เพื่อไปซื้อปลาหมึก กุ้ง หมู กะว่าจะกลับมาทำอะไรกินกัน ขับไปประมาณ 20 กิโลเมตร
กลับมาถึงก็นั่งปิ้งย่างกินกันไปเรื่อย จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง ผมก็สังเกตเห็นน้องพนักงานคนเดิมเดินถือถาดมาฝั่งตรงข้าม เหมือนจะเป็นอาหารอะไรสักอย่าง เดินไปเรื่อยๆจนถึงห้องสุดท้าย ห้องที่ผมบอกว่าเปิดไฟไว้ในตอนแรก พอถึงหน้าห้องน้องเขาก็เคาะประตูแล้ววางถาดอาหารไว้หน้าห้องเลย แล้วก็รีบเดินนกลับไปเลย ผมก็สงสัยว่ามีคนอยู่หรือเปล่า ทำไมน้องเขาไม่รอให้คนในห้องออกมาก่อน แล้วจะรีบไปไหน
และพอดีในช่วงนั้นน้ำแข็งที่ผมซื้อมากำลังจะหมดพอดี ผมจึงตะโกนเรียกน้องพนักงานคนนั้น แต่เขากลับไม่สนใจ น้องเขารีบเดินออกไป แล้วก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปเลย ซึ่งก่อนหน้านี้น้องเขาบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้ามีอะไรให้โทรมาหา เพราะว่าจะกลับไปนอนที่บ้าน ไม่ได้อยู่เฝ้ารีสอร์ท
เรานั่งกินกันอยู่สักพัก ก็เริ่มทยอยแยกยย้ายกันเข้าไปนอนกันทีละคนสองคน จนเหลือน้องอยู่คนหนึ่งชื่อว่าน้องเบียร์ เป็นคนที่ค่อนข้างมีเซ้นส์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นั่งอยู่กับผม 2 คน ส่วนตัวผมนั้นเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย แต่เป็นคนที่ชอบดู ชอบฟัง ผมและน้องเบียร์ช่วยกันเก็บเศษอาหารกะว่าจะไปทิ้งตามร่องน้ำ ผมกับน้องเบียร์ก็เดินหาที่ทิ้งไปเรื่อยๆ จนเจอท่อระบายน้ำอยู่ทอนึง จึงทิ้งเศษอาหารลงไป
ในระหว่างที่ผมกำลังเทเศษอาหารลงท่ออยู่ น้องเบียร์ที่เดินตามหลังมา อยู่ ๆ มันก็กรี๊ดลั่นขึ้นมา แล้วพูดว่า “ พี่!! อะไรอะ” ผมก็บอกว่า “ อะไรของมึง” แล้วเบียร์ก็ชี้ไปที่บ้านหลังฝั่งตรงข้าม บ้านหลังที่เปิดไฟอยู่ พอผมหัันมองไปก็ไม่เห็นมีอะไร จึงหันกลับมาบอกกับเบียร์ว่า “ อะไรของมึง ตาฝาดหรือเปล่า มึงเมาป่ะเนี่ย” เบียร์มันก็บอกว่า “จริงๆ พี่ พี่หันไปดูดิ หันไปดู๊!! ” ผมก็หันไปดูรอบ 2 แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเหมือนเดิม
และด้วยความที่ผมดูรายการผีมาเยอะ เขาว่ากันว่า ถ้าอยากเห็นผีให้ก้มมองลอดใต้หว่างขาแล้วจะเห็น ผมเลยลองดูมั่ง ผมหันหลัง อ้าขา แต่ก้มไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง อยู่ ๆ ก็มีมือมือนึงมาจับหัวผมไว้ แล้วมายืนอยู่ข้างหน้าผม ร่างนั้นน่าจะเป็นผู้ชาย ใส่กางเกงบอลสีดำ ใส่เสื้อกล้าม ส่วนหัวนั้นโดนฟันเป็นแนวเฉียง ซีกขาวหายไปทั้งแถบ หูข้างซ้ายห้อยลงมาจะหลุดไม่ไหลุดแหล่ แล้วพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ เหมือนภาษาเขมร แววตาอีกข้างนึงที่เหลือแลดูโกรธมาก แล้วก็ชี้ไปยังห้องตรงกลางที่พวกผมเช่าพักอยู่ พร้อมกับพูดไปด้วย พูดเสียงดังมาก แต่ผมฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร
เบียร์ที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ได้แต่นั่งก้มหน้าพนมมือท่องอิติปิโส บทสวดต่าง ๆ ของมันไปเรื่อย ท่องไปก็ร้องไห้ไป จนผมต้องหันมาบอกกับเบียร์ว่าให้เงียบก่อน แล้วพอหันกลับไปดูอีกที ร่างนั้นก็หายไปแล้ว
ตอนนั้นผมอยากจะร้องไห้ ขาผมสั่นมาก ทำอะไรไม่ถูก จึงพากันเข้าไปในห้องก่อน พอเข้ามาในห้องได้ คิดว่าทุกอย่างมันจะจบแล้ว แต่มันยังไม่จบแค่นั้น เมื่อ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเคาะกระจกบานเกล็ดจากด้านนอก แค่ก…แค่ก…แค่ก… แต่หน้าต่างบานเกล็ดจะมีผ้าม่านปิดไว้อีกชั้นนึง เสียงเคาะยังดังอยู่ตลอด แค่ก..แค่ก..แค่ก… เหมือนกับว่าเขาอยากให้ผมเปิดออกไปดูให้ได้ และด้วยความสงสัยว่าใครกันที่อยู่ด้านนอก จึงทำใจดีสู้ผี เปิดผ้าม่านออกไปดู ปรากฏว่าเป็นร่างเดียวกันกับที่ผมเห็นตอนแรก เขายังคงยืนเคาะหน้าต่างบานเกล็ดอยู่ ไม่ไปไหน และเหมือนกับว่าเขากำลังพูดอะไรสักอย่าง พูดเสียงดังมาก ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก แล้วสักพักเขาก็เปลี่ยนไปเขย่าลูกบิดประตู ก็อกแก็ก ๆ ๆ เขย่าแรงมากจนประตูแทบจะพัง เหมือนเขาพยายามจะเปิดเข้ามาให้ได้ ด้วยความกลัวไอ้น้องที่ชื่อเบียร์มันก็กรี๊ดจนเป็นลมหมดสติไปเลย ซวยแล้วไง มันทิ้งให้ผมนั่งเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นอยู่คนเดียว
ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคุณตา กดเบอร์ไปก็มือสั่นไป คุณตาเป็นคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องผีสางนางไม้ และวิชาอาคมอยู่พอสมควร พ่อคุณตารับสาย ผมก็เล่าให้คุณตาฟังว่ากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ แล้วตาก็พูดเสียงดังสวนกลับมาว่า “มึง!! นี่มันตี 4 แล้ว ทนๆไปก่อน” เพราะว่าอยู่คนละที่คุณตาเลยช่วยอะไรไม่ได้ ผมก็ได้แต่นั่งหลังชนฝา และคอยปลุกไอ้เบียร์ให้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อน ปวดฉี่ก็ปวด แต่ก็ไม่กล้าเดินไปเข้าห้องน้ำ เสียงเคาะกระจก เสียงเขย่าประตู ก็ยังดังไม่หยุดไม่หย่อน เหมือนมันแกล้งผม
จนเมื่อใกล้จะเช้า ได้ยินเสียงนกร้อง หลังร่างนั้นจึงหายไป ผมจึงตัดสินใจออกมาจากบ้านพักของตัวเอง ไปเรียกน้องๆที่ยังนอนแฮงค์กันอยู่ ทุกคนต่างตื่นลุกขึ้นมา แล้วก็โทรหาน้องพนักงานคนเมื่อคืน พอน้องเขามาถึง ก็พูดขึ้นมาเลยว่า “โดนล่ะสิ ผมย้ำแล้วนะว่าจะพักแน่ๆใช่ไหม ไปที่อื่นก่อนไหม”
น้องพนักงานก็บอกว่า จริงๆแล้วรีสอร์ทแห่งนี้กำลังจะปิดตัวลง เนื่องจากเจ้าของจริงๆ กำลังจะขายที่ ให้เจ้าอื่น และย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ 2557 ได้มีคดีสองผัวเมียถูกเผานั่งยาง แล้วถูกนำศพมาทิ้งไว้บริเวณใกล้ ๆ รีสอร์ทแห่งนี้
และผมก็มาทราบที่หลังว่า สาเหตุที่เขาชี้มาห้องพักพวกผมก็เพราะว่า ช่วงที่ผมกำลังถือกุญแจอยู่ น้องที่พักห้องตรงกลาง มันดันทะลึ่งเดินออกไปกินขนม ที่อยู่หน้าบ้านฝั่งตรงข้าม พี่พนักงานเขานำมาวางไว้ ซึ่งขนมนั้นถ้ามองเผิน ๆ ดูไม่เหมือนของเซ่นไหว้เลย เพราะยาคูลท์ยังอยู่ในแพ็ค ขนมก็เป็นยังแพ็ควาง ทั้งหมดวางใส่ตะกร้าไว้เฉย ๆ มันเหมือนของกินที่พนักงานเอามาส่งให้แขกที่มาพักมากกว่า วิญญาณตนนั้นเขาก็เลยตามมาสั่งสอนนั้นเอง …เรื่องราวก็จบแต่เพียงเท่านี้ ใครพอจะรู้จักชื่อโรงแรมและอยู่ตรงไหนบ้างไหมครับ
ที่มาอังคารคุมโปง