ศาลข้างทาง ประสบการณ์ขนหัวลุก โดนดี ที่…ควนกาหลง จ.สตูล

ศาลข้างทาง
ศาลข้างทาง

เกริ่นนำก่อน เพื่อให้คนภาคอื่นเข้าใจในศัพท์ภาคใต้   ขออธิบายเรื่องคำว่า  “ควน”  คำว่า  “ควน”  เขียนตรงๆตัวแบบนี้  ไม่ใช่ “ควร” นะครับ เป็นคำที่จะพบได้ในชื่ออำเภอ ตำบล ของจังหวัดในภาคใต้ เช่น  ควนขนุน   ควนโดน ควนแพรกหา ควนเนียง  ควนกาหลง ซึ่งคำว่า “ควน” นี้แปลว่า  ภูเขาหรือเนินลูกเล็กๆ  ที่อาจจะเป็นดินลูกรัง  โผล่นูนๆขึ้นมากลางที่ลุ่มบ้าง  หรือโผล่ขึ้นมาติดๆกันไปตลอดบ้าง เทียบได้กับ  เนินเขาป่าเต็งรังของภาค เหนือ  อีสาน ประมาณนั้น   ซึ่งภาคใต้ จะมีเนินเขาแบบนี้อยู่เยอะมาก

ปี 2555  ช่วงนั้นผมกลายเป็นคนตกงาน  ก็หอบสังขารและเงินเก็บกลับไปอยู่บ้านญาติที่พัทลุง  ก็มีเงินเก็บพอสมควร  ระหว่างที่รองานใหม่เรียกตัว  ผมก็ว่างเต็มที่  เลยใช้เงินที่มีสนองตัณหาตัวเอง  แต่ไม่ได้เอาไปเที่ยวเล่นตามร้านคาราโอเกะนะครับ  ถึงน้องนางแต่ละคนจะยั่วใจผมก็ตามที   ตอนนั้นผมเองก็อยากสร้างทรัพย์สินติดตัวบ้าง   เลยไปซื้อมอเตอร์ไซค์มือ1 มาคันนึง  ก็เวฟยอดฮิตนี่ล่ะนะ  

พอได้รถมา  ผมก็เติมน้ำมันออกเที่ยวสิครับ  เพราะดักดานทำงานมานานปี  ก็อยากเห็นนั่นเห็นนี่  ผมขับรถวนเที่ยวในพัทลุงไปร้อยเอ็ด  เจ็ดน้ำตก  ต้องบอกว่า  สถานที่ท่องเที่ยวในพัทลุง  ผมมั่นใจว่าผมไปแล้วทุกที่  คือขับรถคู่ใจไปดูให้เห็นกับตานั่นล่ะ   ผมออกเที่ยวทุกวันครับ น้ำมันอย่างน้อยๆวันละ 2 ถัง   ที่บ้านก็ไม่ว่าอะไรผม  เพราะผมไม่ใช่เด็ก  ใช้ความเร็ว 60-80 อยู่ประมาณนี้

คนเราความต้องการไม่เคยพอ   พอเที่ยวจังหวัดตัวเองจนทั่วแล้ว  ผมก็ข้ามเขตแล้วครับ   ขับข้ามเขาพับผ้า (ก็เขาที่เป็นข่าว 4 วัยรุ่นเอาน้องผู้หญิงไปโยนทิ้งแล้วรอดนั่นล่ะครับ)  ข้ามไปเที่ยวฝั่ง จ.ตรัง  หาดปากเมง  หาดหยงหลิน   วังวิเศษ   น้ำตกร้อยชั้นพันวัง  เลาะเรื่อยทุกน้ำตกที่ถนนไปถึง  ไปสุดใต้จังหวัดตรังยัน  แหลมหยงสตาร์  ที่ท่าข้าม  อ.ปะเหลียน

ผมก็ขับวนๆเที่ยวดูอยู่ 2 จังหวัด คือพัทลุงกับตรัง  จนผมได้รู้จักกับคนคอเดียวกันโดยบังเอิญ  ที่  น้ำตกสายรุ้ง  ฝั่งตรัง  เป็นคนพัทลุงเหมือนผมเลย  ผมขอเรียกนามสมมุติเขาแล้วกันว่า “สิน”  ครั้งแรกที่ผมเจอสิน  เพราะผมขับตามสิน  ตั้งแต่ทางเข้าน้ำตกสายรุ้ง  ผมเห็นป้ายรถพัทลุงเหมือนกัน  แต่สินขับซูซูกิ  เหมือนสินจะรู้ว่าผมขับตาม  ก็เหมือนเขาจะลองเชิงผม  ด้วยการผ่อนความเร็ว เร่งความเร็วหนี  ผมก็สบายๆเพราะรถผมใหม่กว่า

เขาขับไปจอดที่จุดจอดรถในน้ำตก  พอผมตามไปจอด  เขาก็ถามขึ้นเป็นภาษาใต้หน้าตาเอาเรื่อง   (ผมจะแปลไว้เลยแล้วกันนะ)

“มีอะไรหรือเปล่าครับ  มาขับตามผม”

“ป่าว  ผมเห็นว่าป้ายรถพัทลุงเหมือนกัน  เลยขับตาม  คนพัทลุงหรอ”

“ใช่  ผมคนพัทลุง”

“ทำไมมาไกลจัง  ผมก็คนพัทลุงนะ”

“ผมชอบขับรถเที่ยวเฉยๆ”

“อ่อ  ผมก็เหมือนกัน  เราขับไปด้วยกันไม๊  ได้มีไรช่วยเหลือกันได้”

นั่นคือจุดเริ่มต้น  ของการรู้จักกัน  และขับรถเที่ยวคู่กันครับ  ผมเริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกับสิน  จนรู้นิสัยของสินหลายๆอย่าง 

สินเป็นคนนิสัยห่ามๆ  กึ่งเพี้ยนๆ  ไม่ค่อยกลัวอะไร  แม้กระทั่งผี  ศาลพ่อปู่บนเขาพับผ้า  ที่คนขับรถข้ามไปมาจะต้องบีบแตรแสดงความเคารพ สินไม่เคยทำ  ซึ่งผิดกับผมที่จะทำตลอด  เพื่อความสบายใจ  และค่อนข้างเชื่อพอสมควร  และสินจะปากดีเสมอ  เวลาเห็นผมทำความเคารพศาลข้างทาง เช่น  “ศาลเกะกะ ไร้สาระไปไหว้ทำไม  ไม่ใช่มีอะไรนิ  ก็ศาลไม้เปล่าๆนั่นและ”

และหลายครั้ง  ที่สินทำคือชอบปากดีคือ  บางทีพอถนนโล่งๆไม่มีใคร พอเจอศาลข้างทาง  สินจะชูนิ้วกลางใส่ศาล  นอกจากนี้สินยังเคยโชว์อภินิหาร จอดรถข้างทาง  ลงไปเยี่ยวรดศาลพระภูมิหักๆที่คนเอาทิ้งไว้ข้างทางมาแล้ว  ผมเองก้ได้แต่แอบหวั่นๆกลัวๆ   

เพราะเคยมีครั้งนึง  ผมกับสินไปขับรถเที่ยวด้วยกันมา  ด้วยความที่บ้านผมจะถึงก่อน  สินเลยแวะมาส่งผมก่อน วันนั้นค่ำแล้ว  พอสินมาส่งถึงหน้าบ้านผมแล้วก็ขับออกไปเลย   พอผมเดินเข้าบ้าน  (สินเคยมาบ้านผมบ่อยจนคนที่บ้านรู้จักชื่อ) น้องสาวผมก็ถามว่า  

“พี่  นั่นใครนั่งซ้อนท้ายมากับพี่สิน  ทำไมน้องไม่เคยเห็นหน้า”

“ไม่มีนะ  พี่ไปไหนไปกัน 2 คนตลอด  จะมีใครมาด้วยบ้าเปล่า”

“น้องเห็นจริงๆนะ ตะกี้  อยู่เฒ่า ๆ แล้วนิ”

” หึ้ยยย  ตาฝาดแล้วมืง  ไปหาไรทำไป๊”

ปากผมบอกไม่มีอะไร   แต่ใจคือ  เอาแล้วไง   ที่ไอ่สินไปทำไว้  ไม่รู้ตรงไหนแหละ  ผมเชื่อว่าน้องผมตาไม่ได้ฝาดหรอก น้องผมไม่ได้เป็นคนที่มีเซ้นส์  แต่ถ้าลองได้เห็นแบบนี้  แปลว่าคงมีสักตนตามมันเข้าแล้ว ผมไม่ได้เอาเรื่องที่น้องสาวผมเห็นคนนั่งซ้อนท้ายไอ่สินในคืนนั้นไปบอกมัน  กลัวมันไม่สบายใจ

ก็ยังเที่ยวกับมันต่อไป  จนวันนึง  เราไปเที่ยว ไปจนถึง อำเภอที่อยู่ใต้สุดของจังตรัง  คืออำเภอปะเหลียนอีกครั้ง ตอนนั้นประมาณ 3 โมงเย็น ไปยืนดูทะเลที่ท่าเรือปลายแหลมหยงสตาร์  มองไปอีกฝั่งเห็น  จ.สตูล

ผมก็เปรยๆกับมันว่า  ชีวิตผมยังไม่เคยไปสตูลสักครั้งเลย  ผมก็ถามไอ่สินว่า  เคยไปหรือยัง   มันบอกเคยขับเลยเข้าไปครั้งนึง แต่ก็แค่ข้ามเขตไปนิดเดียวแล้วกลับ  มันก็ว่า  ลองไปกันไม๊  ขับตามป้าย  หาทางไปแยกรัตภูมิ

ภาพประกอบ

เราขับมาทางทุ่งยาว  เข้าเขต อ.ทุ่งหว้า  ของสตูลบอกเลยว่า  ทิวทัศน์ 2 ข้างทางของสตูล  ใครที่ชอบวิวป่าและภูเขารูปน่างแปลกๆ น่าจะลองไป

เราผ่านด่านตรวจของทหาร  ผ่านทางลงเขาที่น่าหวาดเสียว  เป็นการขับรถที่รู้สึกมีความสุขกับบรรยากาศอย่างมาก  เพราะตอนนั้นตะวันเริ่มตกไปเรื่อยๆ ด้วยความที่เราเดินทางกันแบบตามมีตามเกิด ไร้เทคโนโลยีนำทางใดๆ  ก็ไปตามป้ายจริงๆครับ เรารู้แค่ว่า  เราต้องพยายามไปตามทางเลียบเทือกเขาบรรทัด  เพื่อจะได้ไปเจอกับทางที่จะไปสงขลา

ตอนสว่างๆก็สบายใจครับ  แต่พอความมืดเริ่มเข้าปกคลุม  เราก็เริ่มรู้สึกว่า  ทางที่เรามา  มันไม่ค่อยมีรถวิ่งเลย  แถมเป็นทางเหมือนจะทำเสร็จใหม่ๆ  ตัดผ่านป่ายางและปาล์ม  ขึ้นๆลงๆไปตามเนินเขา

เราอาศัยไฟรถ  ส่องสว่างดูป้าย แล้วขับตามป้ายไปเรื่อยๆ  จาก อำเภอสู่อำเภอ  หลายหนเราต้องจอดรถเพื่อปรึกษากันว่าจะไปทางไหนดี ทางก็แสนมืดมิด  โชคดีที่ไม่มีฝนตกลงมากวน

จนเราขับเข้าสู่เขต  อ.ควนกาหลง   เราตัดสินใจจะไปตามป้ายครับ  ผมให้ไอ่สินขับนำ  ผมขับตาม  เราผ่านศาลเพียงตาศาลนึง  ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก  เป็นศาลไม้ทรงไทย  มีพวงมาลัยห้อยอยู่ข้างทาง  ผมเรียกให้ไอ่สินจอดเพื่อยกมือไหว้ศาลขอผ่านทาง  เพราะเป็นการเดินทางกลางคืนในที่เปลี่ยว  

ไอ่สินมันก็ไม่ทำ  เป็นผมที่ทำอยู่คนเดียว  เราขับกันอยู่บนถนนราดยาง  ที่เหมือนจะทำขึ้นใหม่อยู่นานครับ  ทางเปลี่ยวมากๆ  เราเห็นป้ายบอกทางว่า  อ.ควนกาหลง  อีกกี่กิโลเมตรอยู่เรื่อยๆ เป็นทาง 2 เลนวิ่งไปและสวนกลับเล็กๆ  ตัดเข้าไปในป่ายาง  บางตอนเหมือนะจะเป็นป่าปาล์ม  เราพากันขับตามกัน ขึ้นๆลงๆเนินเขาแบบนั้นอยู่สักพัก  เราก็ผ่านเขตหมู่บ้าน  ลักษณะเป็น 4 แยก  มีร้านขายของชำเปิดอยู่  มีชาวบ้านนั่งกันอยู่ 2-3 คน   ผมก็ไม่สนใจ  ขับตามไอ่สินไปเรื่อยๆ  เพราะยิ่งนานจะยิ่งดึก  ตอนนั้นก็ประมาณ 3 ทุ่มเห็นจะได้  แต่เพราะบรรยากาศ  ที่อยู่กลางป่ากลางดง  ความรู้สึกเลยเหมือนประมาณว่าดึก

ผมขับตามไอ่สินไปเรื่อยๆ  จนรู้สึกว่ามันควรจะเจอทางทะลุได้แล้วนะ  แต่ผมก็ต้องตกใจครับ  เพราะผมจำได้ว่า  ผมขับผ่านป้ายบอกทางป้ายนี้ไปแล้ว  ผมบีบแตรเรียกไอ่สิน  พอมันหยุด  ผมก็บอกมันว่า  เห้ย  มืงพากูหลงแล้ว  ทำไมวนกลับมาที่เดิมวะมืง  ไอ่สินมันก็บอกว่า  มันคงเลี้ยวผิดไป  ขอลองอีกที

ลองอีกทีของมัน  คือการพาผมขับวนกลับมาที่เดิมอยู่หลายครั้งครับ  ทางก็เปลี่ยว  แมงยังพาผมมาขับรถวนเล่นอีก

คราวนี้ผมเลยตัดสินใจ  หากผ่านตรง 4 แยกที่มีร้านค้า  จอดถามเค้าดีกว่า  ว่าควรไปทางไหน  คราวนี้ยิ่งแย่ครับ  เพราะขับเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอ 4 แยกที่มีร้านค้าที่ว่า  แถมน้ำมันก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ อากาศก็มืด ทางก็เปลี่ยว  รถสักคันเดียวก็ไม่มีผ่านมา

ผมนึกถึงศาลที่ไอ่สินไม่ยอมไหว้กับผมขึ้นมาได้  เลยขอร้องมันว่า กูขอสักครั้ง  ยกมือไหว้ แล้วนึกถึงศาลเพียงตาศาลนั้น  ขอผ่านทางเค้าสักครั้งเหอะ  

พอหมดหนทาง  ไอ้สินเลยต้องทำตามที่ผมขอครับ  คราวนี้ผมขอเป็นคนขับนำเอง  แล้วเราก็เจอ 4 แยกที่มีร้านขายของชำครับ ผมจอดรถ  ซื้อขนมและน้ำกิน  โชคดีมีน้ำมันเบนซินใส่ขวดแบ่งขาย  เลยเติมกันจนเต็มถัง  ลุงเจ้าของร้านก็ถามขึ้น

“มาแต่ไหนกันหลานบ่าว”

“มาจากพัทลุงครับ  ขับรถเที่ยวกัน  แล้วหลงทาง”

“เอ้อ  ก็ว่าทำไม  ลุงเห็นขับผ่านร้านไปตั้งหลายรอบ  นึกว่าทำไอ่ไหรกัน  แล้วอีกคนไปไหนแล้ว”

ผมก็หันไปมองหน้าไอ่สิน  แล้วถามลุงเจ้าของร้าน  “อีกคน  หมายถึงเพื่อนผมนี้หรือครับ”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่  ตะกี้ ลุงเห็นมีคนนั่งซ้อนท้าย หลานบ่าวนี้มาด้วย (ชี้ไปที่ไอ่สิน)  เห็นซ้อนมาทุกรอบ เลยสงสัยว่าหนนี้หายไปไหน”

ไอ่สินถึงกับทำหน้าแหยๆ  อึกๆอั่กๆมองหน้าผม  ผมเลยโกหกลุงร้านของชำไปว่า  “มีคนขอติดรถมา  พอดีเจอญาติ เค้าเลยไปกับญาติเค้าแล้ว”  ลุงแกก็ ออๆๆ

พอผมถามทางไปสงขลาไปทางไหน   ลุงแกก็อธิบายมาเสร็จ  งวดนี้ผมก็เลยเป็นคนขับนำทางแทน  ไอ่สินเอ๋อแดรกไปเลย  มันนิ่งสนิท

ผมก็พามันขับขึ้นเขาลงเขาฝ่าทางเปลี่ยวอยู่นาน  แต่คราวนี้รู้สึกว่าจะไม่ผิดทาง ไม่หลงแล้วครับ  เพราะเริ่มเจอรถคันอื่นๆวิ่งกันมากขึ้น  แล้วผมก็ขับไปบรรจบกับทางสายหลัก  ที่ตรงมาจากสงขลา  ก่อนที่จะพามันหลุดรอดไปจนถึงบ้านได้ในเวลาเกือบๆเที่ยงคืน

ตั้งแต่โดนทักในคราวนั้น  ไอ่สินไม่กล้าลบหลู่ศาลเพียงตาข้างทางอีกเลยครับ ผมคุยกับมันในวันหนึ่งว่า  

” เป็นไง  มืงเชื่อแล้วไช่ไม๊ คืนนั้นที่ลุงแกทัก ว่าเรื่องแบบนี้มีจริ ดีที่เค้าไม่เอาเราถึงตาย”

” เออ  กูเชื่อแล้ว  แต่ไม่ใช่เชื่อเพราะลุงแกทักนะ”

“เอ้า !!! ยังจะหัวดื้ออีกนะ  ไม่เชื่อเพราะลุงแกทักแล้วมืงเชื่อเพราะอะไรนิ”

“ตอนลุงแกทัก  กูยังกึ่งเชื่อกึ่งคิดว่าแกอำเล่น  แต่พอตอนขับรถตามหลังมืง  กูเห็นคนแก่ๆ นั่งซ้อนท้ายมืง  นั่งหันหน้ามาหากู  แสยะยิ้มให้กูฟันดำปิ๊ด  จนขึ้นถนนใหญ่ แกถึงหายไป  จะจะขนาดนี้  กูต้องเชื่อแล้ว…เกร็งแทบตายกู ไม่ไปแล้วสตูล!

ครับทุกวันนี้  ผมก็ไม่กล้าขับรถไปสตูลอีกเลย  บอกตรงๆ กลัวมาก  กลัวมองกระจกแล้วมีหน้าใครมาซ้อน  เลิกแล้วขับรถไปที่เปลี่ยวๆตอนกลางคืน

สมาชิกหมายเลข 2876380 

Previous articleผี หัว แหว่ง เรื่องขนลุกของห้องตรงข้ามที่โรงแรมแห่งหนึ่ง!!
Next article“มาตุฆาต” ป้าแก้ว บาปหนัก