เส้นทางลัด เจอรถดับอยู่บนถนนที่ทั้งมืดและเปลี่ยว

เส้นทางลัด
เส้นทางลัด

หลาย ๆ ครั้งในชีวิต ผมพยายามตัดสินใจอะไรให้ถูกต้องที่สุดเพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง คุณเคยมั้ย เมื่อคุณทำอะไรซักอย่างคุณกลับมาต้องคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าฉันตัดเลือกทำตรงข้ามกันล่ะ” หรือ “ถ้าฉันหันซ้ายแทนที่จะหันขวา” คุณเคยมั้ยที่ต้องมาเสียดายทีหลัง เพราะไม่อยากต้องคำถามแบบนั้นเรื่อยไปในชีวิตผมจึงพยายามเรียนรู้ที่จะตัดสินใจให้ “ถูกต้อง” ที่สุด 

มากเท่าที่ผมจะนึกออกเรามักตัดสินใจอะไรจากสิ่งที่รู้หรือเข้าใจ ณ โมเมนต์นั้น เราไม่อยากเสียเวลาพะพวงกับคำถาม “ถ้าหาก” เพราะมันเสียทั้งเวลาและกำลังสมอง เราคิดว่าเรามีทางลือกอื่นก็ต่อเมื่อเรามีข้อมูลหรือรู้อะไรมากขึ้นก็เท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเราตัดสินใจหรือลงมือทำไปแล้วมันก็ไปได้ที่ความคิดอื่นจะแล่นเข้ามาในหัว ท้ายที่สุดเราก็มาถามตัวเองว่า “ถ้าฉันทำในสิ่งที่ตรงข้ามล่ะ” แบบนั้นก็ได้ 

แม้แต่ผมที่พยายามอย่างมากในทุกครั้งก็ประสบกับสถานการณ์แบบนั้น สถานการณ์ที่ผมต้องมาถามตัวเองทีหลังว่า “ถ้าฉัน…ล่ะ” ประสบการณ์ที่หลอกหลอนผมด้วยคำถามแบบนั้นทุกครั้งที่ผมนึกถึงมัน… 

งานของผมทำให้ผมต้องเดินทางบ่อยครั้ง ผมจะไม่มาเสียเวลาพรรณนาว่าผมทำงานอะไร มันไม่ได้สำคัญอยู่แล้วต่อเรื่องราวที่ผมจะบอกคุณ เมื่อไม่กี่ปีก่อนผมอาศัยอยู่ในบรรพตพิสัย นครสวรรค์ พื้นเพผมเป็นคนเชียงใหม่ และเพราะที่นี่อยู่ใกล้บ้านผมที่สุดหลังจากจบวิทยาลัยออกมาผมเลยมักหาเวลากลับไปเยี่ยมทางบ้านบ้าง และเมื่อผมรู้ว่าผมต้องเดินทางเพราะงานอีกในไม่ช้า ผมเลยคิดว่าจะลองใช้เวลาหกชั่วโมงเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านผมอีกสักครั้งช่วงวันหยุด

ในเดือนพฤษภา ผมมีวันหยุดอยู่สาม-สี่วัน เลยใช้เวลาช่วงนั้นวางแผนและออกเดินทาง ผมใช้ถนนพหลโยธินเข้าแม่วะ ก่อนที่จะเข้าทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านดอยขุนตาล แล้วก็เข้าเทศบาลเชียงใหม่เป็นอันเรียบร้อย ทีแรกผมตั้งใจจะเดินทางในเช้าวันอังคาร แต่เพราะผมต้องจัดการปัญหาสารพัดก่อนเดินทางเวลาก็เลยผ่านไปจนบ่ายสามกว่า ๆ แล้วตอนผมอยู่บนทางหลวง การเดินทางสองชั่วโมงแรกราบรื่นดี แต่พอผมเริ่มเดินทางผ่านจ.ลำพูนการจราจรก็เริ่มแย่ลงในช่วงเย็น 

รถติดในตอนนั้นเป็นอะไรที่แย่ที่สุด รถเคลื่อนที่ไปช้ามาก แสงแดดเหลืองอมส้มในตอนเย็นบีบให้ผมมองที่นาฬิกาข้อมือตัวเอง นี่มันห้าโมงเย็นนิด ๆ เข้าไปแล้ว แต่ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เวลายังพอมีเหลือ ๆ แต่แล้วซักพักประมาณยี่สิบนาทีต่อมาผมก็เห็นลางซวย ป้ายแจ้งเตือนบีบถนนให้เหลือเพียงสองเลนส์เท่านั้นจากสี่เลนส์ การจราจรติดแหง็ก พระอาทิตย์ก็คล้อยลงต่ำเรื่อย ๆ 

ถนนตัดเมืองกลายเป็นนรกสำหรับนักเดินทาง ผมไม่ได้นับเวลาว่าติดอยู่บนถนนนี้นานเท่าไหร่แล้ว ความเร็วรถของผมตกเหลือไม่ถึงสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยซ้ำ มันเป็นรถติดที่นรกที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม ท้องไส้ผมเริ่มบ่น ผมเห็นทางออกอยู่ข้างหน้าไม่ไกล และเมื่อไม่เห็นวี่แววว่ารถติดจะเริ่มคลายตัวผมจึงหักเลี้ยวแวะหาอะไรกินดับความหิวและบรรเทาอาการหงุดหงิดจากรถติดไปด้วย 

เมื่อหลุดถนนสองเลนส์มาได้การจราจรก็ดีขึ้น..นิดหน่อย แต่ผมยังเหลืออย่างดี ๆ ก็สามชั่วโมง หรืออาจจะสี่ในการเดินทาง ผมตั้งใจจะไปให้ทันก่อนเย็น หรืออย่างช้าแบบนี้ก็สามหรือสี่ทุ่ม พอเห็นแสงพระอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้าเข้าไปทุกทีผมจึงหยิบโทรศัพท์มาเปิด Google Map เพื่อหาว่าพอจะมีทางอ้อมที่รถแล่นได้สบาย ๆ บ้างมั้ย รถดูท่าจะยังต้องติดอีกนานบนถนนสาย 1 แต่ผมเห็นว่ามีถนนชนบทอยู่อีกไม่ไกลข้างหน้า นี่อาจเป็นความหวังที่ผมจะได้หลุดจากรถติดมรณะนี่ 

เมื่อเลี้ยวรถเข้าถนนชนบทผมก็รู้สึกดีขึ้น ผมเดินทางบนถนนสายนี้ที่ความเร็วราว ๆ 50  กิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่น้อยกว่านั้น ไม่มากแต่ก็ดีกว่าติดแหง็กไปไหนไม่ได้ ผมเดินทางไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ถนนจะเริ่มคดเคี้ยวไปตามภูเขา ถนนขึ้นลงเลี้ยวลดบ้าง ในบางครั้งเมื่อขึ้นที่สูงผมยังเห็นการจราจรนรกจากทางหลวงหมายเลข 1 อยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปหมด ถนนก็พาผมลึกเข้าเรื่อย ๆ ผมไม่เห็นวิวของทางหลวงหมายเลข 1 อีกแล้ว

ถนนชนบทดูเปล่าเปลี่ยวและหว้าเหว่ เส้นทางยังคงคดเคี้ยวไป-มาตรงกลางระหว่างป่าทั้งสองข้าง ในตอนกลางวันมันอาจจะดูสงบและร่มรื่น แต่ในบรรยากาศกลางคืนก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง มันดูหว้าเหว่ ไม่มีแสง ไม่มีสีสัน ไม่มีชีวิตชีวา แม่เคยบอกว่าผมจะเป็นคนนำทางที่แย่เพราะผมมักหลับเสมอในการเดินทางที่ยาวนาน ในขณะที่พ่อกับแม่จะศึกษาแผนที่ผมมักจะนั่งอยู่หลังรถ ถ้าไม่ใช่ว่ากำลังง่วนกับหนังสือการ์ตูนก็หลับ แต่ส่วนตัวผมมองว่าถ้าผมจะนำทางไม่เป็นนั่นก็เพราะผมไม่รู้ แค่นั้นแหละ 

ความคิดผมล่องลอยขณะที่รถแล่นไปตามถนน ผมขยันดูแผนที่กูเกิ้ลมากขึ้น นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ สิบเอ็ด หรือสิบสอง ขีดสัญญาณกลับไปกลับมาระหว่างหนึ่งขีดกับไม่มี ถนนแถวนี้ไม่มีป้ายบอกทิศทาง ไฟจราจรหรืออะไรทั้งนั้น ดังนั้นผมเลยต้องมองแผนที่เรื่อย ๆ เพื่อดูไม่ให้ตัวเองหลงทางอยู่ในนี้ ในป่า มืด ๆ นี่

เพียงชั่วเวลานิดเดียวที่ผมละสายตาจาก Google Map  รถของผมเกือบแล่นเข้าชนท้ายรถที่จอดอยู่ข้างหน้า ผมเหยียบเบรกจม หักรถเข้าริมซ้ายของถนน รถคันนั้นมาจากไหน ทำไมจึงจอดเอากลางถนนแบบนั้น รถของผมไม่ได้ถลาเข้าป่า และก็ยังดีที่ไม่ได้ไปชนรถคันนั้นเข้า กระโปรงหลังของรถผมอยู่ห่างจากกันชนข้างของรถคันนั้นฉิวเฉียด ใจผมสั่นรัว อะดรีนาลีนไหลเวียนทั่วร่าง ทำไมรถคันนี้ถึงอยู่กลางถนนแบบนั้น แถมไม่เปิดไฟท้ายไว้ด้วย โชคดีที่ผมสาดไฟสูงมาตลอดไม่งั้นผมคงหักรถไม่ทันแน่ ๆ

ผมไม่ใช่คนเลือดร้อนเวลาเจอปัญหาบนท้องถนน อีกอย่างผมไม่อยากให้ใครแตกตื่น ผมตั้งสติอยู่แป๊บหนึ่งก่อนจะถอยรถมาซ้อนท้ายรถคันนั้น ตอนที่รถกำลังเคลื่อนมาเทียบก็เป็นช่วงที่ผมเริ่มสังเกตเห็นอะไรประหลาดกับรถคันนี้ ไม่ใช่แค่ความจริงที่ว่ารถคันนี้ดับไฟท้ายจอดนิ่งอยู่กลางถนนแค่นั้น ประตูรถถูกเปิดออก ประตูฝั่งคนขับเกยมาอีกเลนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ 

ผมนั่ง พิจารณาว่าตัวเองต้องทำยังไง และตัดสินว่าจะไม่ปล่อยเลยตามเลย ทีนี้ ก่อนคุณจะท้วงหรือตัดสินผม ผมบอกไปแล้วว่างานของผมไม่ได้สำคัญกับเรื่องนี้ ผมอยากบอกคุณไว้ก่อนว่าผมเคยใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในกองทัพมาก่อน ผมถูกฝึกให้ช่วยเหลือคนและ.. “จัดการกับปัญหาตรงหน้า” ดังนั้นสิ่งที่ผมทำต่อไปคือผมหยิบไฟฉายส่วนตัวขึ้นมาและจะลงไปสำรวจรถคันนั้น 

ผมติดรถค้างไว้เผื่อมีเหตุจำเป็น ไฟหน้าส่องไปที่รถที่ดับอยู่กลางถนน ผมลงมาจากรถ มองซ้ายมองขวาหวังว่าจะเจอรถซักคันวิ่งมา ก็ไม่มีเลย “สวัสดี” ผมตะโกนถามจากรถของผมก่อนจะเดินเลาะซ้ายเข้าใกล้รถคันนั้นมากขึ้น ผมพยายามเดินอย่างระแวดระวังที่สุด “มีใครอยู่มั้ย” ผมตะโกนถามจังหวะที่เข้าใกล้รถ

ไม่มีเสียงตอบ

ผมมาถึงรถ ฉายไฟเข้าไปข้างในเพื่อพบว่ารถคันนั้นว่างเปล่า แสงไฟจากรถช่วยให้เห็นรูปร่างของภายในรถ ผมเดินเลาะมาหน้ารถ จากการที่ผมแตะกระโปรงหน้ารถก็รู้ว่ารถคันนี้ยังจอดได้ไม่นาน ผมมองซ้ายขวาอีกครั้ง และเดินมาฝั่งคนขับก่อนจะหยิบตุ๊กตาเด็กเล่นตัวหนึ่งที่ตกอยู่บนถนน มันเป็นตุ๊กตาผ้าขนาดใหญ่กว่ากำมือผมเล็กน้อย น่าแปลก ถ้ามากันมากกว่าหนึ่งก็ต้องมีการหยุดรถและลงมาเก็บไปแล้ว หรือเด็กกำลังงอแงเหรอ ก็อาจจะไม่ เพราะตุ๊กตามีรอยเล่นที่บอกว่าเด็กชอบตุ๊กตาตัวนี้มากกว่าที่จะโยนมันทิ้งแบบดื้อ ๆ 

ผมตรวจด้านในรถ กุญแจยังคาอยู่ ผมลองบิดดูรถก็ติด แปล่วารถไม่ได้เสียหรือมีปัญหาอะไร ผมยังเจอกระเป๋าตังค์ตรงเก๊เก็บของข้างเกียร์ ผมลองดูด้านในกระเป๋า ทุกอย่างยังอยู่ครบทั้งเงินสด บัตรเครดิต และบัตรประชาชนที่บอกว่าเจ้าของกระเป๋าคือ “นางสุณัฐชา นิฐาน” เธอหน้าทรงไข่ผมประหู เธอเพิ่งจะอายุสามสิบห้าได้สี่เดือนก่อน ในนั้นยังมีรูปภาพถ่ายครอบครัวของเจ้าของกระเป๋าอยู่ด้วย มีเธอ และสุภาพบุรุษเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนผู้ที่ผมคิดว่าคงเป็นสามีของเธอ และลูกสาวตัวเล็กอายุราว ๆ หกหรืออาจะเจ็ดขวบ ในมือเด็กเธอกำลังถือตุ๊กตาตัวเดียวกับที่ผมเจอ ทั้งสามนั่งล้อมเค้กกล่องหนึ่งอยู่ คงเป็นภาพงานวันเกิดที่เพิ่งผ่านมา 

ผมเก็บทุกอย่างเข้าที่เดิมก่อนที่จะเอาโทรศัพท์ขึ้นมากด 191 อีกมือหนึ่งของผมยังถือตุ๊กตาตัวนั้นอยู่

เงียบ ไม่มีการตอบรับ “เชี่ย” ผมอุทานเบา ๆ ก่อนจะบดปุ่มวางสายอย่างหัวเสีย ผมสาดส่องไฟฉายไปทั่วพื้นที่ ก่อนจะสังเกตว่ามีรอยลากเท้าเข้าไปในป่าด้านซ้าย ผมสาดไฟฉายเข้าไปในป่าเพื่อดูว่ามีใครบ้างมั้ย และนั่นเป็นโมเมนต์เดียวกันที่ผมส่องไฟไปกระทบร่างขาวโพลนร่างหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ป่านั่น

นั่นคือเธอ ผู้หญิงที่ชื่อ สุณัฐชา เธอเปลือยเปล่า ร่างกายซีดเผือดไปทั้งตัว ใบหน้า ริมฝีปาก แม้แต่ดวงตา เธอเดินกะเหยก แขนขากระตุกผิดเพี้ยนไปประสานกัน ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวเหมือนมีนักเชิดหุ่นคอยเชิดอยู่อย่างไงอย่างงั้น เธอยิ้มลอย ๆ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ถนนมากขึ้น 

“สวัสดี” เธอเอ่ยออกมาก “มีใครอยู่มั้ย” 

มีร่างซีดเผือดแบบเดียวกันปรากฏให้เห็น ชายหนุ่มที่ผมจำได้จากรูปว่าเป็นสามีของเธอ และเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เป็นลูกสาวของเธอ ที่จริงมีมากกว่านั้น มากกว่านั้นเยอะ ข้างหลังที่ไฟกระทบได้ไม่ชัดผมเห็นร่างสีขาวอีกมากมายที่เดินตาม “สุณัฐชา” ออกมา “สวัสดี” ร่างพวกนั้นพูดพร้อมกัน เป็นคำถามเดียวกันกับที่ผมใช้ถามตอนที่ผมลงมาสำรวจรถ “มีใครอยู่มั้ย” 

ผมถอยหลังอย่างร้อนรนก่อนจะชนเข้ากับกระโปรงหน้ารถของสาวผู้โชคร้าย ผมสาดไฟไปมั่วจนไปกระทบเข้ากับอะไรซักอย่าง มันเป็นเมฆที่ดำโดดเด่นออกมากความมืดในป่า มันเหมือนหมอกที่ดำสนิทที่แม้แต่แสงไฟฉายผมก็ไม่ทำให้มันสว่างมากขึ้นเลยซักนิด ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันปล่อยสายโยงยาว ๆ สีดำออกมาจากข้างในไปยังร่างของสุณัฐชา ครอบครัวเธอ และร่างอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้น

“สวัสดี” “มีใครอยู่มั้ย”  

ผมรีบลุก วิ่งเข้ามาในรถ ตัวเอง โชคยังดีที่ผมติดรถไว้ตลอดเวลา 

“สวัสดี” “มีใครอยู่มั้ย” ร่างพวกนั้นค่อย ๆ เดินออกมาจากป่าด้านหน้ารถของสุณัฐชา เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเปลี่ยนเกียร์เป็นถอยหลัง ผมถอยรถ กลับหน้ารถ และรีบออกจากตรงนั้นกลับมาตามทางที่ผมขับมาตลอด ผมขับรถออกมาก่อนจะสังเกตว่ามีร่างแบบนั้นอีกปรากฎให้เห็นลาง  ๆ ออกมาจากความมืดของป่า บางร่างก็ยืนโบกมือขอให้ผมกลับไปหาพวกเขา หรือโบกมือลาก็ไม่รู้ ผมขับออกมาตามทางเดิม สายตาของผมมองแต่ข้างหน้าเท่านั้น ผมไม่ได้หันข้าง หรือหันกลับไปดูอะไรทั้งนั้น 

ผมกลับมาถึงทางหลวงหมายเลข 1 อีกตอนประมาณเกือบ ๆ สามทุ่ม ผมโทรบอกทางบ้านทันทีว่าจะไปถึงช้าหน่อย โชคยังดี การจราจรบนทางหลวงนั่นเหมือนจะคลายตัวแล้วในตอนดึก มีรถสัญจรไปมาสบาย ๆ ผมคิดอีกครั้งเรื่องโทรหาตำรวจไม่ก็ตำรวจทางหลวงแต่ก็ไม่ทำ “พวกเขา” ในนั้นไม่มีความหวังอีกแล้ว ไม่มีใครเหลือให้ช่วย 

อย่างที่ผมบอกไปข้างต้น ผมพยายามใช้ชีวิตไม่ให้ตัวเองมานั่งถามว่า “ถ้าฉัน…ล่ะ” ทีหลัง แต่ครั้งนี้ ถ้าผมออกจากบ้านเร็วกว่านี้ล่ะ หรือถ้าผมไม่หยุดรถหาของกิน หรือถ้าผมไปตามทางหลวงไม่เลี้ยวเข้าไปทางนั้น ผมจะกลายเป็นแบบพวกเขามั้ย หรือผมคงจะช่วยพวกเขาได้ ในหัวผมคิดแต่เรื่องเด็กน้อยคนนั้น ผมไม่ทันสังเกตแต่ผมโยนตุ๊กตาตัวนั้นที่ผมเจอไว้ที่เบาะข้างคนขับมาตลอด 

ผมเคยสงสัย อะไรบ้างที่อยู่ในป่าก่อนที่มนุษย์จะเอาความเจริญเข้ามา มีอะไรอยู่ในนั้น ก็..ผมไม่อยากตอบ ผมไม่อยากสงสัยอีกแล้ว ผมไม่อยากตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายถึงอะไรแบบนั้น และที่ผมเรียนรู้คือ ผมไม่ขอหักรถออกจากทางใหญ่อีกแล้ว รถจะติดแค่ไหนก็ชั่งมัน

ที่มาสมาชิกพันทิปหมายเลข 6035777 

Previous articleโรงแรมลึกลับ “มะตูม” ขนลุกไม่หาย เจอผีตามกลับบ้าน
Next articleวันน้ำหลาก ไม่ทันตั้งตัว ประสบการณ์ขนหัวลุก..ที่น้ำตกไพรสวรรค์ จ.ตรัง