Home กระทู้ผีพันทิป เรื่องหลอนของมนัส ผมจะรักคุณไปตลอด ชาติหน้าขอให้เราได้พบกันอีก

เรื่องหลอนของมนัส ผมจะรักคุณไปตลอด ชาติหน้าขอให้เราได้พบกันอีก

เรื่องหลอนของมนัส  ผมจะรักคุณไปตลอด ชาติหน้าขอให้เราได้พบกันอีก
เรื่องหลอนของมนัส

นับแต่ “กานดา” ภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน “มนัส” ก็ยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนเมื่อครั้งที่กานดายังมีชีวิตอยู่ เคยทำงานอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น เคยพูดเล่นพูดหัวกับใครเขาก็ทำอย่างนั้น แต่ที่คนไม่เข้าใจคือเขายังทำตัวเหมือนกานดายังมีชีวิตอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ

ทุกเช้า เพื่อนบ้านจะเห็นเขาเดินอ้อมรถไปเปิดประตูอีกฝั่ง เหมือนที่เคยเปิดให้กานดาเข้าไปนั่ง แล้วจึงปิดประตูเดินมาฝั่งคนขับ สตารท์รถออกจากบ้านไป ที่ทำงานของกานดา ที่มนัสเคยมาส่งเธอทุกทุกเช้า เขาจะจอดรถหน้าตึก ลงจากรถแล้วอ้อมมาเปิดประตูให้กานดาลง เขาก็ยังทำอยู่อย่างนั้น เพียงแต่วันนี้ไม่มีกานดา

กลางวัน เขาจะขี่มอเตอร์ไซด์คันเก่าจากที่ทำงานซึ่งไม่ไกลมากนัก มายังโรงอาหารที่ทำงานกานดา สั่งอาหารสองชุด แล้วไปนั่งทานคนเดียว โดยอาหารอีกชุดจะอยู่ตรงข้าม เหมือนที่กานดาเคยนั่งทานกับเขา

เย็น เลิกงาน เขาจะขับรถมาจอดหน้าตึกที่ทำงานกานดา อ้อมมาเปิดประตูรถเหมือนที่เคยทำให้กานดาขึ้น นั่ง ปิดประตู แล้วขับออกไป

ที่บ้านตอนเย็น ที่เขาเคยมาจอดหน้าบ้าน เปิดประตูให้กานดาลง แล้วจึงนำรถไปเก็บในโรงจอดรถ เขาก็ยังทำอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ไม่มี กานดา…

อาจไม่น่าแปลกใจนัก เพราะคนอาจคิดว่าเขายังทำใจต่อการสูญเสียภรรยาไปก่อนวัยอันควรไม่ได้ ถ้าเขาไม่ยังคงเดินบ่นพูดคนเดียวหัวเราะคนเดียว บริเวณบ้าน ชี้มือชี้ไม้ เหมือนมีคนสนทนาด้วย แม้แต่ในรถยนต์ หากใครบังเอิญติดรถเขามา เขาจะให้นั่งเบาะหลัง แล้วฟังเขาสนทนาคนเดียวเป็นเรื่องเป็นราว ทำเอาคนนั่งมาด้วยขนลุกเกรียว ไม่กล้าขออาศัยมาอีกเลย

แต่ไม่มีใครกล้าถามเขา ไม่มีใครอยากสนทนากับเขาเรื่องนี้ ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะเขาก็ยังเป็นคนอารมณ์ดีเหมือนเดิม ฟังเพลงเบาๆ ในห้องทำงานส่วนตัว ผิวปากตามเพลง ทักทายคนโน้น คนนี้ เหมือนที่ผ่านมา

แถวบ้านย่านที่มนัสอยู่ ขโมยชุกชุม โดยงัดโดนปีนกันแทบทุกบ้าน ยกเว้นแต่บ้านมนัส หลังจากเกิดเรื่องน่าขนพองกับขโมยสองคนนั้น ไม่มีขโมยไหนกล้าแหยมมาอีกเลย ..เรื่องเกิดในคืนที่มนัสไปร่วมงานศพเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากกานดาเสียชีวิตได้ราวหกเดือน..

หลังบ้านของมนัสและเพื่อนบ้านเป็นคลองระบายน้ำ มีทางเดินเล็ก ๆ ริมคลองติดกับรั้วของทุกบ้าน หัวขโมยอาศัยทางเดินนี้ เป็นที่ตั้งบันไดปีนเข้าบ้านชาวบ้านในเวลากลางคืน สังเกตว่าบ้านไหนใครไม่อยู่ก็จะปีนข้ามรั้วมา วันนั้น ขโมยคงคิดว่าปลอดคน เห็นบ้านมนัสปิดไฟมืด ก็พากันปีนเข้ามาในรั้วบ้าน

เข้ามาถึงประตูหลังบ้านก็ใช้ชะแลงงัดขอบประตู แต่งัดไม่ได้เพราะมนัสคล้องกุญแจใหญ่ไว้ภายในตัวบ้าน มันจึงไปงัดหน้าต่างไม้ คราวนี้สำเร็จ บานหน้าต่างถูกงัดออก สองคนนั่นก็เข้าไปสู่ตัวบ้านได้ มันเที่ยวเอาไฟฉายส่องหาทรัพย์สินมีค่าที่พอจะหยิบฉวยเอาไปได้ ทั้งชั้นบน และชั้นล่าง เที่ยวรื้อเที่ยวค้น แล้วมันทยอยขนเอาทรัพย์สิน อาทิ วิทยุ เครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่า พระบูชามากองรวมไว้ข้างหน้าต่างเพื่อจะได้ขนออกทีเดียว เมื่อเห็นว่ามากพอที่จะขนไปหมดแล้ว ก็เอากระสอบที่เตรียมมายัดของใส่

พลัน เสียงเหมือนคนเดินบนบ้านชั้นบน ไม่เดินเปล่า กระแทกเท้าดังโครมๆ ไอ้สองคนตาเหลือก ก็เมื่อครู่ก็เพิ่งจะเดินขึ้นไปสำรวจเอาข้าวของลงมาก็ไม่เห็นใคร เสียงนั้นย่ำเท้าลงบันไดมา ไอ้สองคนนั่นไม่ทันให้ได้เห็นว่าอะไร หรือ ใครจะเดินลงมา พากันกระโดดออกนอกหน้าต่าง วิ่งกันไปทางหน้าบ้าน ร้องตะโกน ลั่น ผี ผี จนชาวบ้านมาช่วยกันจับตัวไว้ได้

ตำรวจมาตรวจสถานที่เกิดเหตุ เห็นว่า พวกหัวขโมย คงรื้อค้น แล้วเผลอไปทำให้พัดลมตั้งพื้นตัวใหญ่เอียงอยู่แต่ค้ำกับม่านไว้ เมื่อม่านรับน้ำหนักไม่ไหว พัดลมก็รูดลงมาฟาดพื้นเสียงดังโครม เหมือนคนกระทืบบ้าน ส่วนเสียงที่ลงบันไดไป เป็นลูกบาสเกตบอลเก่าๆ ที่คงหล่นมาจากตู้ แล้วกลิ้งลงไป คนเรานั้นเมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำผิดคิดไม่ซื่อ ใจจึงผวา พร้อมจะถูกหลอนโดยจิตตัวเองไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง

ถ้าใครเคยทราบความผูกพันของมนัสและกานดา จะต้องนิยมในความรักของทั้งคู่นัก อาจเป็นเพราะบุพเพสันนิวาส ที่ทำให้ทั้งคู่มาพบกัน จากการที่ไม่น่าจะมาพบกันได้ เนื่องจาก มนัส มีบ้านและที่ทำงาน อยู่กรุงเทพ เขา เป็นคนบ้างาน กลางวันทำงาน ตกเย็นกลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ก็ง่วนอยู่กับการทำงานบ้านหลังเก่า มรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ลูกชายคนเดียว ต่อโน่นเติมนี่ ไม่เที่ยวเตร่ที่ไหน ส่วนกานดานั้น เป็นคนจากอุดรธานี ทั้งชีวิตเธอก็อยู่ที่นั่น ครั้งแรกที่เข้ามากรุงเทพ ก็เพราะน้าสาวให้มาเป็นเพื่อน มาโรงพยาบาล นั่งรถทัวร์มาลงขนส่งสายเหนือ แล้วตอรถแท็กซี่จะไปโรงพยาบาล 

ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า แท็กซี่เจ้ากรรม ดันเสียไปต่อไม่ได้ ฝนก็กำลังตกหนัก กานดาและน้าสาว จึงต้องยืนตากฝนเพื่อรอแท็กซี่คันใหม่ จังหวะที่มนัส เลี้ยวรถออกมาจากซอยบ้าน ให้นึกสงสารสองสาวนั้น จึงจอดรถถามว่าจะไปไหนกัน ก็ได้ความว่าจะไปโรงพยาบาล ซึ่งไม่ห่างจากที่มนัสทำงานนัก เขาจึงอาสาพาไปส่งที่โรงพยาบาลให้ก่อนแล้วค่อยตั้งใจ จะกลับมาทำงาน

ครั้งแรกที่เขาเห็นกานดา เมื่อเธอเข้ามานั่งเบาะข้างเขา เขาก็รู้สึกว่าตกหลุมรักเธอทันที ใบหน้านั้นอ่อนโยนแม้จะเปียกปอนไปด้วยสายฝน แต่ก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนนัก เธอยกมือไหว้ขอบคุณในน้ำใจไมตรีของเขา กานดาเป็นคนไม่สวยนัก แต่ก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ อย่างที่เรียกว่า สวยแบบเรียบๆ ช่างพูดช่างคุย ช่างซักช่างถาม สุภาพ และอ่อนน้อมถ่อมตน แค่นี้ก็เกินพอสำหรับหัวใจผู้ชายทึ่มๆ อย่างมนัส จะไม่หลงใหลก็ให้มันรู้ไป

เมื่อเขาส่งกานดาและน้าสาวที่โรงพยาบาล เขากลับตัดสินใจไม่ย้อนไปทำงานในเช้าวันนั้น ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกของสำนักงานของมนัสเลยทีเดียวที่มนัสหายไป เพราะร้อยวันพันปี มนัสจะมาถึงที่ทำงานก่อนใครเสมอ แต่วันนี้ มนัส ยอมทำตามหัวใจเรียกร้อง เขาเป็นธุระกุลีกุจอติดต่อเรื่องการพบแพทย์อย่างเต็มใจ เป็นที่ประทับใจของกานดาและน้าสาวมาก เมื่อน้าสาวของกานดาเข้าไปพบแพทย์ เขาจึงได้อยู่กับกานดาตามลำพัง และเริ่มสนทนาถึงเรื่องหัวใจ ที่เกิดมาเป็นหนุ่ม ๒๘ ปี ก็ปีนี้ ยังไม่เคยคุยกับผู้หญิงคนไหนเรื่องนี้เลย….

มนัสรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมด พูดตามที่นึกไว้ “ เอ้อ คุณกานดาครับ คุณเคยได้ยินเรื่องรักแรกพบ ไหมครับ” กานดาก้มหน้า ซ่อนแก้มที่แดงปลั่งด้วยความเขินอาย ปีนี้เธออายุ ๒๔ ปีแล้ว มีหรือที่จะไม่ทราบว่า มนัส หมายถึงอะไร แต่เธอก็แกล้งตอบเขาไปว่า

“เคยสิคะ ยังไงคะ”

“ก็ผมรู้สึกว่าผมรู้สึกเช่นนั้นกับคุณสิครับ” คนพูดก็รู้สึกว่าตัวเองขัดเขินไม่แพ้กัน

“แต่คุณมนัสเพิ่งพบดิฉันยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลยนะคะ” กานดาตอบ 

เธอกำลังคิดว่าเขาจะต่อไปได้ไกลแค่ไหนนับแต่เป็นสาวมา จนมาทำงานเป็นเสมียนในศาลากลางจังหวัดได้หลายปีแล้ว ด้วยความที่ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่จึงย่อมจะมีหนุ่ม และไม่หนุ่ม แวะเวียนมาขายขนมจีบ จนนับไม่ถ้วน แต่เธอได้แต่ยิ้มรับไมตรี เธอไม่ได้รู้สึกนึกนิยมรักใคร่ชายเหล่านั้นเลย แต่ช่างน่าประหลาดเธอกลับนึกชอบใจ ประทับใจ มนัส มาแต่เช้าที่พบกันแล้ว

“ก็ทำให้มันยาวนานไปมากกว่าสองชั่วโมงสิครับ” หายใจโล่ง นึกชมตัวเองว่า ตอบไปได้ไง

“ทำยังไงคะ” กานดาถาม เธอก็อยากจะทราบว่า ประเดี๋ยวเธอก็จะกลับอุดรธานีแล้ว เขาจะสานสัมพันธ์ต่ออย่างไร…… 

“ก็ขอเบอร์โทร. ที่อยู่ไว้สิครับ ผมจะได้โทร.ไป จดหมายไป”

“อ้อ ค่ะ ได้ค่ะ” แล้วเธอก็เขียนที่อยู่ที่บ้าน และ เบอร์โทรศัพท์บ้านให้เขา

ขณะนั้น น้าสาวของกานดา ได้พบแพทย์ทำการตรวจแล้ว แต่ปรากฏว่า แพทย์สั่งให้รอฟังผลตรวจเลือดในวันรุ่งขึ้น ทำให้น้าหลานปรารภกันว่าคงจะต้องเช่าโรงแรมใกล้ๆ นอนสักคืน มนัส ได้ยินเข้าก็หูผึ่ง เขารีบเสนอบ้านเขาให้แก่สองสาวได้พักในคืนนี้ ทีแรกนั้นด้วยความที่เกรงใจ และเพิ่งได้พบกัน สองน้าหลานจึงช่วยกันปฏิเสธเสียแข็ง แต่ในที่สุดก็ทนเสียงคะยั้นคะยอ ไม่ได้ก็ติดรถมนัสกลับมาที่บ้านเขา

มนัส พาสองสาวชมบ้านและห้องพัก บ้านเรือนไม้เก่าสองชั้นนั้น แม้จะโบราณไปสักหน่อยแต่สภาพดีด้วยเจ้าของเอาใจใส่บำรุงรักษาดูแลมาโดยตลอด ตัวบ้านและหน้าต่างออกแบบให้ลมพัดเข้าตัวบ้านเย็นสบาย เขาพาสองสาวไปยังห้องครัว และออกปากให้พากันหุงหาอาหารได้ตามสบาย จากเสบียงที่เขาตุนไว้ในครัวและตู้เย็น เครื่องใช้ไม้สอยก็หยิบจับเอาตามสะดวก เวลานั้นเป็นเวลา สิบโมงครึ่งเช้า เขาจึงขอตัวไปทำงานกานดาแกล้งสัพยอกว่า

“ไม่กลัวเราพาคน มายกเค้าคุณหมดบ้านหรือคะ” มนัสหัวเราะ แล้วตอบอย่างอารมณ์ดีว่า

“ เชิญครับ เหลือบ้านเปล่าไว้ให้ผมก็แล้วกัน”

วันนั้น ที่สำนักงานพากันถามด้วยความแปลกใจว่าทำไม วันนี้มนัสจึงมาสาย ป่วยหรือไร รถเสียหรือไร มนัสตอบว่า ไปรับญาติมาจากต่างจังหวัด มาพักที่บ้าน แต่ที่ทำงานได้แต่พากันไม่เชื่อ เพราะไม่เคยได้ยินมนัสเล่าว่ามีญาติที่ไหน นอกจากลุงพี่ชายคนเดียวของพ่อ และป้าสะใก้ ที่ไม่มีลูกด้วยกัน บ้านไม่ห่างจากมนัสนัก ซึ่งมนัสแวะเวียนไปดูแลอยู่เสมอๆ

ในการทำงานวันนั้น มนัสรุ้สึกว่าวันเวลามันยาวนานเสียเหลือเกิน เขาอยากจะกลับบ้านเพื่อไปพบกานดา ป่านนี้เธอทำอะไรอยู่นะ เธอชอบบ้านโบราณของเขาไหม และเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เขาก็รีบบึ่งรถออกจากสำนักงานโดยไม่ร่ำลา หรือทักทายใคร เหมือนทุกวันที่แวะลาคนนั้นคนนี้

เขามาถึงบ้าน ด้วยความแปลกใจ วันนี้บ้านโล่งๆ ผิดตา สองสาวนั่นคงช่วยเก็บกวาด อันที่จริงเขาก็เป็นคนเจ้าระเบียบ แต่คงไม่พอสำหรับสายตาผู้หญิง ในห้องครัว อาหารหลายอย่างวางบนโต๊ะ มีฝาชีครอบไว้เรียบร้อย ได้ยินเสียง น้าหลาน ลงบันไดมา อาบน้ำอาบท่า แต่งตัวใหม่กันทั้งสองสาว มารอมนัสทานอาหาร ร่วมกัน .. มนัสขอตัวไปอาบน้ำ แต่งตัวใหม่ วันนี้บ้านเขาไม่ผิดจากสวรรค์บนดินเลย เขารู้สึก

คืนนั้น มนัส พากานดาและน้าสาว นั่งรถชมกรุงเทพ จนดึก เมื่อส่งน้าสาวเข้านอนแล้ว จึงเป็นโอกาสดีที่หนุ่มสาว จะได้คุยกัน ที่เก้าอี้สนาม กลางสนามหญ้าหน้าบ้าน คืนนั้นแสงจันทร์กระจ่างแสงทั่วท้องฟ้า เป็นใจให้ความรักส่องสว่างเข้าไปถึงใจของกันและกัน

“คุณกานดา ที่รัก ผมรู้สึกว่าชีวิตผมคงขาดคุณไม่ได้เสียแล้ว ไม่ทราบว่าบ้านหลังนี้จะพอให้คุณได้พักพิงอย่างเป็นสุขไหมครับ” มนัส คิดว่าเวลาไม่รอคอยเขา พรุ่งนี้ต้องจากกัน เขาควรใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

“ดิฉันว่า เราเพิ่งรู้จักกันน่ะค่ะ จะเหมาะหรือคะที่ดิฉันจะตอบตกลงง่ายอย่างนั้น คุณคงเห็นดิฉันไม่มีค่าอันใด”

“โอ ไม่คิดแบบนั้นหรอกครับ ผมเป็นอย่างไร คุณอาจเห็นในปัจจุบัน แต่คุณคงไม่เห็นในอนาคต จึงอาจไม่มั่นใจดังนั้น ผมจะขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้ ว่า ผมนาย มนัส จิตมั่น จะรัก นางสาวกานดา ละมัย ไปจนชีพของเขาจะดับสิ้น และแม้มีวิญญาณต่อจากนั้น เขาก็จะยังรักจนวิญญาณดับสลาย และแม้เกิดในชาติต่อไป ก็จะขอรักอีกวนไปเช่นนั้นจนโลกอวสาน

“…..ผมจะดูแลคุณในทุกลมหายใจของคุณ จะคอยห่วงหาอาทร เลี้ยงดูมิให้ลำบากยากไร้ แม้ไม่ร่ำรวยโอฬาร แต่ ยามดีจะบำรุงบำเรอให้สุขสราญมิขาด ยามป่วยไข้จะปรนนิบัติโดยไม่ทอดทิ้งไปจนไกลตา จะภักดีซื่อสัตย์ดำรงคงมั่นมิมีวันมีสอง แม้ความตายพลัดพรากจากกัน ก็จะอยู่เพียงเดียวดายจวบจนตายตามไป”

และเพราะคาถาคำสาบานของมนัสนี่เอง ทำให้กานดาใจละลาย เขาบอกโครงการอะไรต่างๆ เธอก็ตกลงยินดีรับคำเขาไปหมด ไม่ว่าจะให้คุณลุงคุณป้าขึ้นไปทาบทามสู่ขอพรุ่งนี้เลย และจัดแต่งงานภายในเดือนหน้า ย้ายลงมาทำงานกรุงเทพ ฯ เธอฟังเขาบรรยายเป็นฉากๆ โดยไม่ขัดคำเลยสักนิดเดียว

นอกจากมนัสจะทำตามโครงการแต่งงานและพากานดาลงมาอยู่กรุงเทพ ตามตั้งใจภายในสองเดือนแล้ว คำปฏิญาณที่เขาให้ไว้ในคืนแรกพบ เขาก็ปฏิบัติโดยมิได้ขาดตกบกพร่อง จนกานดาเป็นฝ่ายกระดากอายเสียเอง ที่ดูแลมนัสได้ไม่ดีเท่าที่เขาดูแลเธอ

มนัส ตื่นแต่เช้ามืด เขาเข้าครัวหุงข้าวเตรียมอาหารเช้าไว้สำหรับเขาและกานดา เขาอ้างว่า อาหารทางอีสานที่กานดาทำนั้นไม่ถูกปาก เขาถนัดทำอาหารจีน จืดๆ แต่กานดาก็ไมว่าอะไร เมื่อทั้งคู่แต่งตัวสำหรับไปทำงานแล้วก็จะร่วมทานอาหารเช้าที่บ้าน หลังทานอิ่มเขาจะไปเตรียมรถ ส่วนกานดาจะเก็บล้างถ้วยชาม เป็นกิจวัตรสำหรับวันทำงาน 

เขาจะขับรถมารอกานดาที่หน้าบ้าน ลงจากรถมาเปิดประตูอีกฟากหนึ่ง รอกานดาปิดบ้านล็อคกุญแจเรียบร้อยมาขึ้นรถ เขาจะไปเปิดประตูรั้ว ขับออกไปแล้วเดินย้อนกลับมาปิดประตู้รั้วบ้าน ไปส่งกานดาที่ทำงานเธอก่อน แล้วจึงไปที่ทำงานของเขา กลางวันจะขับรถมอเตอร์ไซค์มาทานข้าวที่โรงอาหารรสำนักงานของกานดาด้วยกัน และเย็นจะมารับ โดยเขาจะเปิดประตูรถให้กานดาขึ้น-ลง ทุกครั้ง เป็นที่ชื่นชมของผู้พบเห็นเสมอ

มนัสและกานดาจะไปซื้อกับข้าวมาตุนไว้ในวันเสาร์ เพราะไม่มีเวลาไปหาซื้อในวันทำงาน วันเสาร์อาทิตย์ ทั้งสองคนจะช่วยกันซักเสื้อผ้าของทั้งคู่ ทำความสะอาดบ้าน ล้างรถยนต์ แม้มนัสจะบอกกานดาว่าอย่าช่วยเลย แต่กานดาก็ยินดีที่จะช่วยกันทำงานคู่กันเสมอ

หลังจากแต่งงานกันมาได้ครบหนึ่งปีด้วยความสุขไร้ทุกข์ร้อน รวมทั้งไร้ปากเสียง มนัสและกานดาจึงวางแผนที่จะมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทั้งคู่จึงไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเช็คร่างกาย โชคร้ายนัก แพทย์ลงความเห็นว่า กานดาไม่สามารถมีลูกได้ เนื่องจากโรคธารัสซีเมียของเธออาจจะส่งผลให้เด็กไม่สมบูรณ์ กานดาเสียใจมาก เธอร้องไห้เสียใจอยู่หลายวัน มนัสแม้จะเสียใจไม่แพ้กัน แต่เขาก็ต้องหักใจเพื่อคอยปลอบโยนกานดา เขายืนยันว่าแม้กานดาจะมีลูกให้เขาไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เขารักเธอน้อยลง สักพักค่อยหาหลานๆ จากบ้านเธอมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมก็ได้ เธอซาบซึ้งใจนัก ไม่นานก็หักใจได้

ชีวิตคู่แบบนั้น ดำเนินมาสี่ปี กานดาเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ แพทย์ตรวจพบว่ามาจากสาเหตุจากเลือดเป็นพิษ เธอซูบผอมลง และ ไมสามารถไปทำงานได้ จำเป็นต้องลางานมานอนรักษาตัวที่บ้าน ตลอดเวลานั้น มนัสลางานมาเฝ้าเอาใจใส่ดูแลเธอไม่ห่าง เขาอุ้มเธอไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำให้ ป้อนข้าวป้อนยา ตามสัญญาที่เคยให้ไว้ทุกประการ จนเมื่ออาการเธอไม่ดีขึ้น ตามกำหนดลางานของทั้งคู่ ดูท่าว่าเธอต้องลาออกจากงานแน่แล้ว มนัสจึงแจ้งให้น้าสาวของกานดามาช่วยดูแลในระหว่างที่เขาไปทำงาน โดยเขาจะทำธุระเรื่องอาหารการกินหยูกยารอบเช้าเรียบร้อยก่อนไปทำงาน และรีบกลับในเวลาเย็นเพื่อปรนนิบัติเธอ ช่วงนี้มนัสคงเหนื่อยมาก เธอเห็นเขาแทบไม่มีเวลาว่างเลย หลังพักจากดูแลเธอเขาก็ไปทำงานบ้าน ที่เคยทำกันสองคน แต่เวลานี้เขาต้องทำคนเดียว แต่เขาไม่เคยปริปากบ่นเลย ทุกครั้งที่เขาหันมามองเธอจะมีแต่รอยยิ้มให้เธอเสมอ และเมื่อมาถึงตัวเธอเขาจะจุมพิตเธอที่แก้มทุกครั้ง

กานดาป่วยอยู่ได้ประมาณสี่เดือน วันนั้นเธอรู้สึกว่าหมดแรงจะหายใจต่อแล้ว จึงยกมือไขว่คว้าหามนัสที่นั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ เตียง เขารีบเอามือเธอมาแนบแก้ม น้ำตาไหลพราก เธอมองหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย และพยายามจะออกเสียง ว่า รักคุณ แต่เสียงมันไม่ออกมาจากลำคอ มนัสเข้าใจ เขาพยักหน้า เขาบอกกับเธอว่า “ผมก็รักคุณ กานดา ผมจะรักคุณไปตลอด ชาติหน้าขอให้เราได้พบกันอีก” แต่กานดาสั่นหน้าช้าช้า เธอโบกมือวนชี้ไปรอบๆ บ้านและหลับตาลง มนัสโอบกอดเธอไว้ แนบหน้าไว้กับใบหน้าเธอจนลมหายใจสุดท้ายของกานดาหายไป

ความแปลกประหลาดที่มนัสทำหลังจากเสียกานดาไป คือเขายังไม่ได้เผาศพกานดา ยังคงฝากที่วัดไว้ เขาบอกว่าเขาคงอยู่ได้ไม่นานให้เพื่อนๆ ช่วยเผาเขากับกานดาพร้อมกัน และสองปีที่เขาทำตัวแปลกๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อเกิดความคุ้นชินในวัตรปฏิบัติของเขา และเกรงใจว่ามนัสคงเสียใจจนเสียสติ ในไม่นานทุกคนก็ทำเหมือนไม่สนใจ และจะคงเป็นอยู่เช่นนั้น ถ้าสำนักงานของกานดา ไม่ได้รับเด็กหนุ่มสองคนนั้นเข้ามาทำงาน..

เจ้าแป๊ะ และ เจ้าเหน่ง เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย และ มาสอบบรรจุที่นี่ด้วยกัน เมื่อเห็นท่าทางพิสดารของมนัส แรกๆ ก็งง แต่ก็ได้รับคำอธิบายจากเพื่อนร่วมงานเก่าของกานดา ว่าเขามารับภรรยาเขาแบบนี้สี่ปีแต่ภรรยาเสียไปสองปี เขาก็ยังมารับอยู่ สองคนนั้นบอกว่า มนัส ท่าจะเพี้ยน แต่ด้วยความบ้าบิ่นของเด็กหนุ่ม ทั้งสองคนนั่นจึงอยากท้าพิสูจน์ว่าที่มนัส ทำท่าทางแบบพูดคุยคนเดียวนั้น เขาคุยกับภรรยาที่ไม่มีตัวตนจริงหรือ เขาประสาทหลอนคิดไปเอง

วันนั้น เย็นวันพุธ หลังเลิกงานแล้ว สองคนสืบจนรู้จักบ้านของมนัส และมาเดินเกร่อยู่แถวหน้าบ้าน เฝ้าคอยสังเกตเข้าไปในบ้าน เห็นมนัสรดน้ำต้นไม้อยู่ จนค่ำ มนัสจึงเดินเข้าบ้านไป เจ้านักสืบสองคนมองเห็นปลอดคนผ่านไปมาจึงปีนรั้วบ้านเข้ามา แล้วรีบวิ่งมาหาที่ซ่อนกำบังตน เพื่อสังเกตการณ์ ข้างหน้าต่าง

มองจากช่องหน้าต่างเข้าไป เห็นมนัสกำลังตักข้าวมาวางบนโต๊ะอาหารสองจาน จานหนึ่งเป็นของเขา อีกจานหนึ่งเขาวางไว้ตรงข้าม แล้วเขาก็พูดอยู่คนเดียว เป็นบทสนทนาถามตอบแบบได้ใจความเสียด้วย ยิ่งแสงด้านนอกยิ่งมืด ตาของเจ้าสองคนนั่นแทบจะถลนมานอกเบ้า ร่างบางๆ เหมือนมุ้งโปร่งแสง ค่อยๆ ปรากฏที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของมนัส ชัดขึ้นๆ จนเกือบเป็นร่างคนปกติ แต่ยังมองใสผ่านไปถึงตัวมนัสได้ เหมือนสิ่งนั้นจะทราบว่ามีคนมอง มันหันส่วนหัวที่เป็นผมดำๆ หมุนมาแบบไม่ได้เอี้ยวตัว จนด้านที่เป็นหน้ามนุษย์หันมาที่สองเกลอนั่นแอบอยู่ เท่านั้นเพียงพอที่สองคนนั่นจะแหกปากร้องสุดเสียง วิ่งออกจากบ้านแล้วปีนรั้วข้ามมาแบบแทบจะเหาะข้ามได้

เสียงลือ เสียงเล่าอ้างต่างๆ ทำให้ชีวิตของมนัสเปลี่ยนไป เพื่อนบ้านใกล้ๆ พากันกลัวเกินเหตุ ทั้งที่เมื่อก่อนก็อยู่กันมาได้ แต่ยามนี้ เมื่อมีอะไรแปลกประหลาดก็ว่าเป็นผีเมียมนัสมาหลอก บ้านที่ติดกันสองข้างย้ายไปพร้อมติดประกาศขาย ใครผ่านไปผ่านมาก็มองเข้ามาในบ้าน ทำให้มนัสรู้สึกไม่เป็นอิสระ ที่ทำงานทุกคนพากันเงียบงัน ไม่ทักทายเขา ไม่พูดคุยเหมือนเดิม ทำให้มนัสรู้สึกหดหู่ท้อใจและซึมเศร้าลง

หลังจากเหตุการณ์ที่เจ้าแป๊ะ กับเจ้าเหน่ง มาท้าพิสูจน์ได้สองเดือน บ้านเรือนไม้โบราณหลังนั้นก็เกิดไฟลุกท่วมขึ้นกลางดึก ไฟโหมลุกโชติช่วงอย่างรวดเร็วด้วยเป็นบ้านไม้ทั้งหลัง เพื่อนบ้านไม่สามารถช่วยดับได้ทัน และไม่มีใครได้เห็นมนัสออกมาจากตัวบ้าน จนรุ่งเช้าเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสภาพบ้านซึ่งเหลือเพียงซากไม้และกองเถ้า จึงพบโครงกระดูกมนุษย์สองร่างกอดกันอยู่ใต้กองซากปรักหักพังนั้น…(จบ)

ที่มาบล็อกพันทิป จะขออยู่ค้ำฟ้า

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here