เรื่องมันเกิดขึ้นแถวมีนบุรี เราชื่อ เอ๋ ปัจจุบันเราอายุ 47 ปี เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เราเป็นโรครูมาตอยด์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ บวกกับตอนนั้นเราประสบอุบัติเหตุ และอาจจะเป็นเวรกรรมด้วย ทำให้เราเดินไม่ได้ตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนั้นเราอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่จังหวัดนนทบุรี ส่วนคุณยายเราอยู่ที่มีนบุรี สมัยก่อนการสัญจรไปมาที่มีนบุรี จะใช้ทางเรือเท่านั้น ไม่มีถนนเหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นเราไปอาศัยอยู่ที่บ้านยาย อยู่กับยาย กับน้าและป้า ประมาณ 1-2 ปี
มีอยู่วันหนึ่ง คุณยายได้พายเรือไปเอาแกลบเหมือนในทุกๆวัน เพื่อจะนำมาหุงต้ม ทุกคนก็อยู่บ้านกัน ตามคลองจะมีผักตบชวาขึ้นอยู่หนาแน่นเต็มคลอง ตอนไปคุณยายก็พายเรือตามกระแสน้ำไหล พายไปก็บ่นไปด้วย “โอ้ย…ตา รอ ถ้าตอนนี้แกยังอยู่ ฉันคงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้หรอก ทำไมแกรีบทิ้งฉันไปตายเร็วจัง” สิ้นคำบ่นของคุณยาย ก็มีเสียงเหมือนอะไรตกลงมาในน้ำดัง ตู้ม! ยายรู้สึกตกใจนิดหน่อย แล้วหลังจากนั้นผักตบชวาก็แวกเป็นทาง เหมือนกับว่ามีใครเข็นเรืออยู่ทางด้านหลัง แต่ยายก็ไม่ได้เอะใจอะไร ยังคงพายเรือต่อไปเรื่อยๆ
ช่วงผ่านโค้งคลองที่จะเข้าไปในวัด มันจะต้องผ่านโรงโกดังเก็บศพก่อน ตรงนั้นจะมีกอไผ่ที่ล้มลงมาคร่อมคลอง ขณะที่พายเรือผ่าน มีลมพัดใบไม้ปลิว เสียงต้นไผ่โครมคราม ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายโมงกว่า ยายก็เทียบเรือเข้าตลิ่ง ขึ้นไปเอาแกลบโกยใส่กระสอบมาลงเรือ จนยายขนแกลบลงเรือเรียบร้อย ทีนี่ขากลับมันจะต้องเหนื่อยกว่าเดิม เพราะจะต้องพายเรือทวนน้ำ แถมยังจะต้องผ่านทางเดินทางที่มีผักตบชวาขวางอยู่เต็มคลอง
ยายเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นขณะที่กำลังดันเรือให้ผ่านดงผักตบชวาที่อยู่ตรงโค้งโกดังเก็บศพ อยู่ๆก็กอไผ่ก็เขย่า แล้วก็มีเสียงบ้างสิ่งตกลงมาในน้ำดัง ตุ้ม! อีกแล้ว นั่นทำให้ยายตกใจมาก จนสติหลุดไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นิ่งไปครู่นึง พอดีสติก็รีบพายเรือ จนมาถึงบ้าน ซึ่งทุกคนได้ทำกับข้าวรอคุณยายไว้แล้ว
พอยายขึ้นจากเรือ ก็เดินดิ่ง ๆ ตรงขึ้นบ้าน เข้าห้องไปนอน หลานถามอะไรก็ไม่ตอบ เวลานั้นประมาณ 4-5 โมงเย็น ทุกคนก็อยากให้ยายออกมาทานข้าว ป้าเรียกยาย “ยายมาทานข้าวได้แล้ว” แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากยาย คุณป้าของเรา ชื่อว่าเอ๋ ซึ่งเป็นร่างทรง จึงเดินเข้าไปปลุกยาย “แม่…มากินข้าว” แม่ยายก็ไม่ตื่น ป้าจึงเรียกยายอีกครั้ง “ แม่ เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่ลงมากินข้าว”
พอยายได้ยินป้าเรียกครั้งที่ 2 ก็ลืมตาขึ้น หันมามองป้า ทำท่ายักคิ้ว หรี่ตา เอาลิ้นเลียรอบปากตัวเองแล้วพูดว่า “ กูอยากกินไก่” อาการของยายตอนนั้น ไม่เหมือนยายที่พวกเรารู้จัก พอป้าเห็นอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่แม่ตัวเอง จึงทำใจดีสู้ผี พูดว่า “แม่ ไปกินข้าว หนูมีไก่ให้กิน” พอยายได้ยินอย่างนั้น ก็รีบลุกมา นั่งอยู่ที่วงข้าว แต่ทุกคนก็ต้องตะลึงอีกครั้ง เมื่อเห็นคุณยายกินข้าวเหมือนกับคนตายอดตายอยาก สองมือสองไม้ จับไก่ฉีกกิน แล้วก็มองตาขวางหันซ้ายทีขวาที เอาลิ้นเลียรอบปากอยู่อย่างนั้น ทุกคนหยุดกินข้าวแล้วมองไปที่ยายอย่างเดียว
ป้าเริ่มถามว่า “ เป็นใคร ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในร่างแม่” ยายก็มองแล้วยิ้ม “มึงจำกูไม่ได้หรอ” ทุกคนก็งงว่าใคร แล้วยายก็บอกว่า “ กูพ่อมึงไง” พอได้ยินอย่างนั้น ทุกคนก็ตกใจ ป้าจึงถามว่า “อ้าวพ่อตายไปตั้งนานแล้ว แล้วมาได้อย่างไร” ซึ่งคุณตานั้นตายไปก่อนที่เราจะเกิดเสียอีก
ตาพูดต่อว่า “ ตอนที่กูอยู่ กูทำบาปทำกรรมไว้เยอะ กูเลยยังไม่ได้ไปเกิด พวกมึงรู้ไหม ตอนพวกมึงอยู่ อย่าหวงกิน อย่าห่วงน้ำ อย่าทำบาป อย่าผิดลูกผิดเมียเขา ทุกวันนี้กูรับกรรมอยู่ พวกมึงทำบุญอะไรให้กู กูไม่เคยได้รับเลย โดนเขาแย่งกินหมด”
ป้าก็ถามว่า “แล้วทำไมตาถึงได้ทุกข์ทรมานขนาดนี้” ตาก็บอกว่า “มียมทูตถามกูว่า จะไปทางรกหรือทางเตียน เพราะว่ากูอยากสบาย กูเลยตอบว่า อยากไปทางเตียน พอกูบอกว่าไปทางเตียนเท่านั้นแหละ กูตกนรกทันทีเลย”
ป้าถามตาต่อว่า “ แล้วพ่อต้องการอะไร” ตาก็บอกว่า “กูหิว กูขอกินเหล้า กูขอดูดบุหรี่” ทุกคนก็ไปหาเหล้าขาว 35 ดีกรีมาให้ตาดึก ตาเอาร่างของยายนั้น ดื่มเหล้าเข้าไปประมาณ 2-3 ขวด สักพักท้องฟ้าหรือมืด ยายเริ่มมีอาการเพลีย ทุกคนก็พยายามพูดกับตา จนตายยอมออกจากร่างยายไป หลังจากที่ตาออกจากร่างยายไปแล้ว ยายก็มีอาการมึนด้วยฤทธิ์ของสุรา และงงว่าตัวเองเป็นอะไร จนยายเริ่มได้สติ ก็มาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ยายฟัง
หลังจากวันนั้น วันเวลาก็ผ่านไปหลายปีมาก ทุกคนคิดว่าเรื่องมันน่าจะจบไปแล้ว จนบ้านหลังนั้นถูกรื้อแล้วสร้างขึ้นใหม่เป็นบ้านชั้นเดียวเหมือนเดิม แต่ต่อเติมยกใต้ถุนสูงขึ้นประมาณ 2-3 เมตร ลักษณะบ้านจะเป็นบันไดสูงขึ้นทางหน้าบ้าน ขึ้นไปก็จะเป็นระเบียงบ้าน ขวามือจะเป็นประตูเข้าไปในบ้าน และในบ้านจะเป็นห้องโถงกว้างๆ มีหน้าต่างล้อมรอบ ทางขวามือเดินเบี่ยงเข้าไปนิดนึง จะเป็นพื้นต่างระดับนิดหน่อย ตรงนั้นจะเป็นเหมือนครัวเล็กๆ ซึ่งเอาไว้วางสำหรับกับข้าว น้าของเราจะชอบนอนอยู่ตรงนั้น ใต้ถุนบ้านจะมีแคร่ขนาดใหญ่ และเตาไฟ
ตอนนั้นเราได้กลับไปอยู่ที่นนทบุรีกับพ่อแม่แล้ว วันนึงน้าโทรมาบอกว่า ยายไม่สบาย ไม่กินข้าวเลย นอกจากวันพระ แต่ร่างกายทุกอย่างปกติ สามารถเดินเหินพูดคุย แต่ชอบคุยคนเดียว พอเราได้ข่าว พ่อแม่พาเราเดินทางไปหายายที่มีนบุรี บังเอิญวันที่ไปวันนั้นตรงกับวันพระพอดี พอไปถึงด้วยความที่เราเดินไม่ได้ เราก็ต้องไปนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านตรงแคร่ที่ยายนั่งอยู่ด้วย สมัยก่อนนั้นมีนบุรีถือว่าชนบท เวลาคนสมัยก่อนไปทำบุญกัน เขาจะเอากับข้าวใส่รวมกันในกะละมังใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน ของแห้ง ของคาวต่างๆ ใครจะกินอะไรก็เอามาแบ่งกัน วันนั้น ยายไปยกกะละมังเอามานั่งกินคนเดียวหมดเลย เราก็ถามยายว่า “ยายเป็นอะไร ทำไมยายถึงกินขนาดนี้” ยายบอกว่า “กูหิว กูอยากกิน”
เราก็มันนึกย้อนถึงคำที่น้าบอกว่ายายจะกินเฉพาะวันพระ แล้วเราก็ถามยายว่า
“ยาย แล้วยายเอาท้องตรงไหนมาใส่หมด”
ยายก็พูดด้วยเสียงแข็ง ๆ ว่า “กูไม่ได้กินคนเดียว มีคนมากินกับกูด้วย”
ด้วยความที่เราอยากรู้ก็ถามยายไม่ว่า
“ใครหรอยาย”
“ มึงไม่กลัวผีหรอ” ยายถามเรา
“ไม่กลัว ยายบอกมาดิ”
“ยายเผื่อน ยายผัน ตาหล่อ ตาเหมือน” ยายบอกเรา
นั่นคือบรรดาตาและยายของเราที่ตายไปแล้วทั้งหมด เราก็ถามยายต่อว่า “ แล้วพวกเขาอยู่ตรงไหนหรอยาย” ยายหันไปทางด้านหลังที่แกนั่งอยู่ ซึ่งตรงนั้นเป็นต้นโพธิ์ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างศาลพระภูมิ แล้วพูดว่า “นั่นไง พวกมันยืนมองกูอยู่ตรงนั้น มันรอกู ” แล้วยายก็นั่งหยิบกินของที่อยู่ในกะละมังต่อไปเรื่อยๆ สักพักแกก็พูดว่า “ กูชอบจังเลย อยู่ร่างอีนี่ กูอิ่มกูไม่ไปไหนแล้ว กูอยู่นี่แหละ” เราก็รู้สึกกลัวนิด ๆ
ช่วงเวลาที่เราอยู่บ้านยาย 2 วัน น้าเล่าให้เราฟังว่า ตอนกลางคืนยายชอบย่องออกมาหาของดิบกิน เช่นเนื้อหมู เนื้อไก่ ของพวกที่ยังไม่ได้ทำ พอน้าลุกขึ้นมาเห็นว่ายายกำลังนั่งทำอะไรอยู่ ก็ถามยายว่า “ แม่ นั่งทำอะไรนะ” ยายก็ตอบว่า “เปล่ากูไม่ทำอะไร กูหิว” พอถึงวันอาทิตย์เราก็ส่งกลับบ้าน เพราะว่าวันจันทร์พ่อแม่ต้องทำงาน
ระยะเวลาผ่านไปไม่ถึง 2 เดือน น้าก็โทรมาอีกครั้ง บอกว่า ยายเจ็บหนักเป็นอัมพาต เราและพ่อแม่ก็เดินทางไปเยี่ยมยายที่บ้าน เห็นว่ายายกระดิกตัวไม่ได้ นอกจากลูกตาที่กลิ้งกลอกไปมาซ้ายขวา พอรุ่งเช้าทุกคนก็ช่วยกันห่ามยายหัวท้ายลงมานอนด้านล่าง ซึ่งยายกินข้าวกินน้ำเองไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ได้แต่เอาน้ำใส่หลอดแล้วหยอดใส่ปาก ทำอย่างนี้อยู่ทุกวัน เป็นระยะเวลาเดือนกว่าที่ยายป่วยหนักขนาดนี้
วันที่เราไปถึงเราก็เอาน้ำหยอดใส่ปากให้ยาย พร้อมกับพูดว่า “ยาย…เอ๋ มาเยี่ยมนะ ยายไม่ต้องห่วง ทุกคนดูแลยายได้เหมือนเดิม ยายจะต้องกินน้ำนะ” แล้วยายก็กระพริบตามองหน้าเรา เหมือนแกรับรู้ ถ้าเราพูดอะไร
พอเวลาตกค่ำ 6 โมงกว่า ๆ ก็ถึงเวลาต้องห่ามยายขึ้นบนบ้าน น้าจะปูเสื่อให้ยายนอนอยู่หน้าหิ้งพระ เสร็จแล้วทุกคนก็จะลงมาอยู่กันข้างล่างหมด ป้ากับน้าและแม่เราก็คุยกันตามประสาพี่น้อง ตอนนั้นไม่มีแม้แต่เมฆฝนและลมพัด ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าฝนกำลังจะตก แต่ก่อนที่ฝนจะตก จู่ๆก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากข้างบน ทุกคนจึงรีบวิ่งขึ้นไปดู ก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นนว่า คุณยายลุกขึ้นมาวิ่งชนกระจก แล้วจะกระโดดลงหน้าต่างบ้าน ทุกคนรีบวิ่งไปจับยาย ตะโกนถาม “ แม่เป็นอะไรๆ” ยายก็โววายบอกว่า “ มันจะมาเอากูแล้ว กูอยากอยู่ กูยังอยากไม่ไป” ทุกคนช่วยกันจับตัวยายไว้ แต่ยายก็ไม่ยอม จะกระโดดลงหน้าต่าง และจะวิ่งชนตัวเองในกระจกให้ได้ จนวันนั้นทุกคนต้องไปนำไม้มาตอกตะปูตีปิดตายหน้าต่างบานไม่ให้เปิดได้ แล้วเอาผ้ามาคลุมปิดกระจกทุกบานที่อยู่ที่บ้าน แม้กระทั่งกระจกตู้เสื้อผ้าและกระจกเงา เสร็จแล้วก็ช่วยกันจับยายไปนอน
แล้วอยู่ ๆ ยายก็พูดขึ้นว่า “ พวกมึงขึ้นมาเหอะ กูเหงา” น้าก็บอกว่า “แม่นอนนะ” ตอนนั้นทุกคนในบ้านเริ่มกลัวกันแล้ว เพราะว่าจากที่ยายเดินไม่ได้ แล้วอยู่ดีๆทำไมถึงเป็นแบบนี้ ขณะที่ยายนอนอยู่นั้น แกก็ร้องลิเกไปด้วย พร้อมกับเอาลิ้นเลียรอบปากตัวเอง นั่นยิ่งทำให้ทุกคนไม่สามารถทนอยู่ได้
หลังจากที่ยายพูดว่า “กูเหงา พวกมึงขึ้นมาเหอะ” ครู่เดียว อยู่ดี ๆ ฝนก็ตก พายุก็มา ทุกคนที่นั่งอยู่ข้างล่างเลยเพราะฝนสาด ทำให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือเพียงแค่เรา พ่อ แม่ น้าและน้าเขย ซึ่งจะต้องขึ้นไปอยู่กับยาย ในสมัยก่อนช่วง 1 ทุ่ม กว่าๆ ทุกคนก็ปิดประตููบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว
พวกเรานอนกันอยู่หน้าประตู ซ้ายมือคือยายนอนไม่ได้กางมุ้งอยู่หน้าหิ้งพระ ถัดจากยายมาคือมุ้งของพ่อและแม่ ถัดมาคือมุ้งของเราและป้า เดินลงพื้นต่างระดับไปขวามือสุด คือมุ้งของน้าสาวและน้าเขย เรานั้นเป็นคนที่กลัวผีคนแก่มากๆ ขนาดที่นอนอยู่ก็คิดในใจว่าจะทำยังไงดี กลัวว่ายายจะคลานมาหาเราข้างมุ้ง เราก็พยายามไม่นึกภาพ ไม่รู้ว่าเรานอนหลับไปนานแค่ไหน จู่ๆเราก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “ รักน้องไหม อย่าทิ้งน้องนะ” เป็นเสียงของคนแก่
พอสิ้นเสียงนี้ เราก็ได้ยินเสียงแม่ร้อง เรียกน้าว่า มึงออกมาช่วย กูหน่อยกูไม่ไหวแล้ว แล้วน้าก็วิ่งออกมาจากมุ้ง เราก็นอนฟังอยู่ในมุ้งว่าเกิดอะไรขึ้น เราได้ยินเสียงน้าพูดว่า “ แม่อย่าทำแบบนี้ ถ้าทำแบบนี้ทุกคนจะไม่มาหาแม่นะ ทุกคนกลัวแม่หมดแล้ว” สิ่งที่ยายทำกับแม่เราคือ ยายเอาหัวมุดเข้าไปในมุ้ง แล้วเข้าไปเลียหน้าแม่ พร้อมกับพูดคำว่า “อย่าทิ้งน้องนะ รักน้องไหม” พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ 3 รอบ แล้วก็จ้องหน้าแม่เรา ทำให้แม่เราตกใจกลัวเลยร้องเรียกน้า
แล้วน้าก็จับยายกดตัวลงให้นอน แต่ยายก็ยังคงนอนชันเข่า บางทีก็ลุกขึ้นมานั่งชันเข่า บางทีก็ร้องลิเก เป็นอย่างนั้นอยู่ทุกคืน ด้วยความกลัวเราก็เลยขอให้แม่มานอนในมุ้งเดียวกับเรา ให้มันนอนขวางยายให้หน่อย อย่างน้อยเวลายายคลานเข้ามาในมุ้ง ก็ยังมีแม่กันไว้อยู่
รุ่งเช้ามาทุกอย่างเป็นปกติ ยายนอนตัวแข็งเป็นอัมพาตเหมือนเดิม ทุกคนก็ห่ามยายลงมานอนที่แคร่ข้างล่างเหมือนเดิม วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ เราก็ต้องกลับมาอยู่ที่นนทบุรี จนเวลาผ่านไปไม่แน่ใจว่าถึง 1 เดือนหรือเปล่า น้าสาวก็ได้โทรมาอีกครั้งบอกแม่ว่า “ฉันไม่ไหวแล้วพี่ ฉันเหนื่อย เช็ดอึฉี่แม่มาเป็นเดือนแล้ว แล้วอีกอย่างนึงฉันรู้แล้วล่ะ ว่าที่ฉันดูแลอยู่ทุกวันนี้คือใคร” แม่ก็ถามว่ามันคืออะไรมึงพูดมาดิ
น้าบอกว่า ได้ไปปรึกษาพระที่นับถือของวัดที่ยายไปเอาแกลบ และเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย หลวงตาก็บอกว่า “เอ็งทำใจได้ไหม ที่เอ็งเลี้ยงอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่แม่เองนะ ภายนอกคือแม่เอง แต่ที่อยู่ข้างในน่ะคือผีทั้งนั้น แล้วเป็นผีมอญด้วย” (พ่อเรามีเชื่อสายมอญ) น้าก็ถามหลวงตาว่าต้องทำยังไง หลวงตาก็บอกว่า “ทุกวันนี้จิตของแม่เองไม่อยู่แล้ว ถ้าเอ็งยังไหวเองเลี้ยงไป แต่ถ้าเอ็งเหนื่อย และทำใจไม่ได้ เอ็งเอานี่ไป (หลวงตายื่นผ้ายันต์ 1 ผืน ใบหนาด 1 กิ่ง) เอ็งเอา 2 สิ่งนี้ไปไว้ ใต้หมอนใต้ที่นอน และอย่าให้แม่เอ็งรู้นะ” น้าก็รับของสองสิ่งนั้นมาจากหลวงตาไว้
แต่วันที่น้าโทรมา คือวันที่น้าตัดสินใจแล้วว่าไม่ไหวจริงๆ พ่อแม่ก็ตกลงตามนั้นกับน้า คืนนั้นทั้งคืนน้าร้องไห้ เหมือนรู้แล้วว่าจะต้องจบชีวิตแม่ตัวเอง
ตกเช้ามา น้าห่ามยายลงมาใต้ถุนบ้านเหมือนเดิม ยอดน้ำใส่ปาก ที่ละหยด ๆ แล้วน้าก็ขึ้นไปร้องไห้อยู่บนบ้าน ทำความสะอาดทุกอย่าง แล้วนำผ้ายันต์ไปไว้ใต้หมอน นำใบหนาดไปไว้ใต้เตียง แต่ก่อนที่จะทำ น้าได้ให้ญาติทุกคนมากราบเท้ายายเพื่อขอขมา อโหสิกรรมต่อกันและกัน แต่ยายไม่รู้เรื่อง ยังคงนอนนิ่งเป็นอัมพาตอยยู่
น้าสาวลงมาหายาย ปรนนิบัติยายดีทุกอย่างด้วยน้ำตา พอตกเย็น พระอาทิตย์ตกดิน ก็ช่วยกันห่ามยายขึ้นข้างบนเหมือนเดิม แต่พอห่ามไปถึงเสื่อ กำลังจะวางยายลง ยายก็ดีดตัว เพื่อไม่ให้ตัวเองนั้นแตะถึงเสื่อ น้าและน้าเขยก็พยายามกลั้นหายใจ กดยายลงไปถึงเสื่อให้ได้ พอยายล้มตัวนอนตัวแตะพื้น หัวแตะหมอนลงไปปุ๊บ ยายนอนนิ่งเลย แล้วเหมือนทุกอย่างมันสงบ
น้ามองไปที่ยาย ลมหายใจของยายแผ่วเบามาก หนังเริ่มเหี่ยวย่นลงจนติดกระดูกทันตาเห็น แต่ยายยังมีลมหายใจอยู่ น้าก้มลงกราบเท้ายาย เพื่อขอขมาและอโหสิกรรมทุกอย่างว่า ที่ทำไปนั้นเพราะสงสารแม่ ที่ฉันเลี้ยงอยู่นั้นไม่ใช่แม่แล้ว อโหสิกรรมให้ฉันด้วย น้าร้องไห้ทั้งคืน นอนเฝ้าร่างยายที่มีเพียงลมหายใจแผ่วๆ จนเช้า
รุ่งเช้า ร่างของยายก็กลายเป็นหนังที่กระดูกแห้ง เหมือนคนที่ตายมาแล้วเกือบปี แก้มตอบ ตาโบ๋ แล้วน้าก็โทรมาบอกแม่ว่า แม่เสียแล้วนะ
เราและแม่ได้มาร่วมงานศพยาย ซึ่งได้สวดศพทั้งหมด 7 วัน ก่อนตายยายเคยสั่งเอาไว้ว่า “ถ้ากูตายอย่าเอากูไปไว้วัดนะ กูกลัวผี ถ้าพวกมึงเอากูไปไว้วัดกูจะแช่งพวกมึง” และยายก็เคยบอกไว้อีกว่า แกไม่ชอบถ่ายรูปเลย เวลามีเทศกาลใดๆที่ลูกหลานไปหา แกจะไม่ถ่ายรูปเลย แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ก่อนที่แกจะป่วย แกได้เรียกลูกๆหลานๆมาถ่ายรูปด้วยตัวเอง แกพูดว่า “ มึงถ่ายรูปกูไว้นะ เอาไว้ตั้งหน้าศพกู” แล้วรูปนั้นก็ได้นำมาใช้ตั้งหน้าศพยายจริงๆ เป็นรูปเดียวตั้งแต่ยายเกิดมาเลย
วันที่เราไปร่วมงานนั้นเป็นวันที่ 7 วันสวดศพวันสุดท้ายพอดี ด้วยความที่เราเดินไม่ได้ และใต้ถุนบ้านมันก็สูง จะให้คนอื่นอุ้มขึ้นไปก็เกรงใจ แล้วคนก็เยอะด้วย เราจึงนั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ทุกคนก็วุ่นอยู่กับการเตรียมงาน รอพระมาสวด เราได้วานให้เพื่อนขึ้นไปถ่ายรูปยายให้หน่อย อย่างน้อยขอกราบศพยายจากกล้องถ่ายรูปก็ยังดี เพื่อนจึงขึ้นไปถ่ายรูปให้เรา รูปที่เพื่อนเราถ่ายมานั้น ติดทุกรูปยกเว้นรูปหน้าศพ เพื่อนเราบอกว่า พอมีญาติๆมานั่งอยู่หน้าศพแล้วจะกดถ่ายชัตเตอร์ ปรากฏว่ากดยังไงก็กดปุ่มชัตเตอร์ไม่ลง แต่พอหันกล้องไปทางอื่นที่ไม่ใช่โลงศพ กลับกดชัตเตอร์ได้ปกติ
พอเพื่อนลงมาหาเรา ก็บอกว่า กดไม่ได้ว่ะ ทำยังไงดี เราก็ร้องไห้ แล้วหยิบกล้องของเพื่อนมาอธิษฐานว่า “ยาย เอ๋มาหายายแล้วนะ อย่างน้อยขอเห็นยายเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม ขอให้ยายถ่ายติดนะ” แล้วเราก็ให้เพื่อนขึ้นไปถ่ายรูปยายใหม่ แต่ในครั้งนี้เพื่อนขึ้นไปคนเดียว เพราะทุกคนได้ลงมารอข้างล่างกันหมดแล้ว
เพื่อนเดินขึ้นไป ขณะที่กำลังจะแพนกล้องซูมไปที่โลงศพ เพื่อนบอกว่า เห็นร่างร่างหนึ่งลาง ๆ แต่ก็พอดูออกว่านั่นคือยาย ยืนอยู่ข้างโลงศพข้างกรอบรูปท่าน แล้วเพื่อนก็รีบกดชัตเตอร์ทันที ไม่ได้ดูว่าถ่ายติดหรือเปล่า เสร็จแล้วก็รีบวิ่งลงมาเลย แล้วก็นำรูปมาให้เราดู ปรากฏติดรูปโลงศพและกรอบรูปยาย แต่ไม่มีภาพมีวิญญาณของยายนะ เราก็ร้องไห้แล้วกอดกล้อง แต่เชื่อไหม พอล้างรูปออกมาแล้ว ปรากฏว่ารูปโลงศพยายไม่มี รูปนั้นดำมืดสนิททั้งรูป
พอพระสวดครบ 7 วัน ก่อนถึงเวลาที่จะต้องนำร่างของยายไปไว้ที่วัด จำได้ไหมที่ท่านเคยสั่งไว้ว่า “กูจะไม่ไปวัด” ตอนที่ยกโลงศพขึ้น ก็สามารถยกได้ปกติ แต่พอตอนจะยกออกจากบ้าน ทุกคนเตรียมยกโลงขึ้น ยายนั้นเป็นคนที่ตัวเล็กมาก 4 คนยกสบายๆ แต่พอทุกคนเคลื่อยย้ายโลงศพกำลังจะก้าวขาออกจากประตู ปรากฏว่าอยู่ดีๆโลงศพก็หนักมาก จนต้องเพิ่มคนยกขึ้นเป็น 5 คน 6 คน จนเพิ่มเป็น 10 คน แต่ก็ยังไม่สามารถยกโลงศพออกพ้นประตูบ้านได้ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ออกไม่ได้ แล้วคนโบราณบอกไว้ว่า ถ้ายกโลงศพขึ้นแล้วห้ามวางเด็ดขาด แล้วก็ห้ามบ่นว่าหนักด้วย ทุกคนต่างมองหน้ากัน ยิ่งบ่นโลงก็ยิ่งหนักขึ้น เหมือนกับว่ามีอะไรมาทับอยู่ด้านบนโลง
แล้วน้าก็นึกถึงคำที่คุณยายบอกไว้ จึงไปนิมนต์หลวงตา ให้มาที่บ้าน หลวงตาท่านก็มาพร้อมกับกิ่งไม้ กิ่งหนึ่ง ซึ่งยังมีใบอยู่ หลวงตาเดินขึ้นมาบนบ้าน ยืนอยู่ที่หน้าโลงศพที่ทุกคนกำลังแดกอยู่ แล้วหลวงตาก็พูดว่า “อีพ้อม มันไม่ใช่ที่ของเองแล้ว เอ็งตามข้ามา ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเอ็ง เอ็งอย่าทำให้ลูกหลานเดือดร้อน อย่าทำให้ลูกหลานหนักใจ” พอหลวงตาพูดเสร็จ ท่านก็เดินนำ ทุกคนก็สามารถยกโลงศพออกจากบ้านได้อย่างสบาย ไม่ต้องหักมุมเรื่องอะไรทั้งสิ้น เดินออกไปได้เลย จนถึงวันเผาเหตุการณ์ก็ปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอผ่านวันเผาไป ถึงเวลาทำบุญร้อยวัน เราจะต้องไปบ้านน้าก่อน ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตามมา วันที่ไปน้าสาวเราจากที่นอนในครัว ก็ได้ย้ายมานอนที่หน้าหิ้งพระ ตรงที่ที่ยายเคยนอน เราสามคนก็เขาไปนอนกันในมุ้ง มีเรา น้าเรา และน้าเขย ไฟทุกดวงปิดหมด ในคืนนั้นขณะที่เรากำลังนอนอยู่ เราเห็นน้านอนอ้าปากอยู่ เราจึงถามน้าว่า น้ามานอนทำอะไรตรงนี้ น้าก็ถามเราว่า เอ็งกลัวผีไหม ด้วยความสงสัยเราก็ถามน้าไปว่า ทำไมน้าถึงทำอย่างนี้ล่ะ น้าก็บอกว่า เดี๋ยวข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง
เมื่อคืนนี้ก่อนที่เอ็งจะมา เป็นวันครบร้อยวันที่ยายเสียพอดี ขณะที่น้ากับน้าเขยกำลังนอนอยู่ในห้องครัวกัน 2 คน ในบ้านไม่มีใคร นอกจากน้าและแฟนนะ น้าได้สั่งกับหลานชายไว้ว่า ถ้าเกิดจะมากินข้าว เอ็งก็เดินขึ้นมากินได้เลย กินเสร็จแล้วเก็บสำรับให้เรียบร้อย ปิดประตูบ้านให้ดี เดี๋ยวหมามันจะขึ้นมา ขณะที่กำลังนอนกันอยู่นั้น ดึกแค่ไหนจำไม่ได้เหมือนกัน น้าได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา เดินอยู่บนบ้าน ก้าวขาลงมาบนพื้นต่างระดับ ตรงที่น้าก็นอนอยู่ แล้วก็เสียงคนเปิดฝาชี
ตอนนั้นน้าก็นอนหลับตาอยู่ เพราะคิดว่าเป็นหลานขึ้นมากินอะไรหรือเปล่า ก็นอนฟังไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าทำไมหลานกินนานผิดปกติ น้าจึงหรี่ตามอง ภาพที่เห็นก็คือ ยายแก่ๆคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ ชันเข่าขึ้นมา 1 ข้าง แล้วทำท่ากินอย่างมูมมาม น้าจำได้ว่านั่นคือยายนั่นเอง แล้วเหมือนกับว่ายายรู้ตัวแล้วว่าน้ามองยายอยู่ ยายค่อยๆหันคอมาช้าๆ มองมาที่น้า แล้วลุกขึ้นจากสำหรับเดินอ้อมมาข้างมุ้งที่น้านอนอยู่ นั่งลงข้างๆมุ้ง แล้วค่อยๆเปิดมุ้งขึ้น เอาหัวมุดเข้ามาในมุ้ง เอามือมาลูบที่หัวแล้วก้มไปหอมน้า แล้วพูดว่า ข้ารักเองนะ ข้าไปแล้วนะ แล้วยายก็เอาหัวออกนอกมุ้ง ปิดมุ้งลง แล้วก็เดินอ้อมมุ้งออกไป เหยียบขึ้นพื้นต่างระดับ
ตอนนั้นน้าช็อคและกำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวเองนั้นเห็นอะไร จึงทำใจดีสู้ผี ค่อยๆลุกคลานออกจากมุ้งช้าๆ แล้วก็แอบดูตรงที่มันเป็นฝาผนังกัน เห็นยายเดินหายเข้าไปในรูปที่มีโกฐกระดูกตั้งอยู่ชัดเจน พอเห็นอย่างนั้นน้าถึงกับถอยหลังก้นจ้ำเบ้า
พอน้าเล่าจบ เราก็พูดกับน้าว่า น้ามาเล่าอะไรคืนนี้ ทำไมไม่เอาไว้เล่าพรุ่งนี้ สิ้นสุดคำพูดของเราเท่านั้นแหละ โกฐกระดูกของยายที่ตั้งอยู่ข้างบน ก็หล่นลงมาเถ้ากระดูกกระจายทั่วผืนทันที เหมือนยายมาแกแกล้งเรา ตอนนั้นเรากลัวและเครียดมาก แล้วน้าก็ออกไปเก็บโกฐกระดูกของยาย หลังจากที่ทำบุญร้อยวันเสร็จ นับตั้งแต่นั้นมายายก็ไม่มาเห็นอีกเลย
ขอบคุณที่มาอังคารคุมโปง