เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดเจ้าของเมลไม่ได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเอง แต่ได้รับการถ่ายทอดต่อมาอีกทีหนึ่ง และเรื่องราวนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย เหตุการณ์ทั้งหมดก็มีดังต่อไปนี้
ผมได้พักอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง อพาร์ทเม้นที่ผมอาศัยอยู่นั้นเป็นอาคารไม่ใหญ่มาก มีทั้งหมด 4 ชั้น ในแต่ละชั้นก็จะประกอบไปด้วยห้องประมาณ 9-10 ห้อง ตัวผมเองพึ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่อพาร์ทเม้นแห่งนี้ได้ไม่นาน เนื่องจากราคาเช่าไม่แพงและอยู่ใกล้กับโรงเรียนด้วย ผมเลยคิดว่าการอาศัยอยู่ที่นี่ทั้งคุ้มค่าและก็สะดวกสบาย นอกจากนั้นอพาร์ทเม้นแห่งนี้ยังอยู่ใกล้กับร้านค้าต่างๆและก็อยู่ติดกับถนน ทำให้การสั่งของจากร้านอาหารมาทานที่ห้องทำได้ง่ายมากๆ
ในช่วงสัปดาห์แรกที่ผมอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเม้นนั้นเรื่องราวทุกอย่างก็เป็นปกติดี มีเพื่อนแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมที่ห้องบ้าง และผมก็มักจะสั่งอาหารมาทานในช่วงดึกๆตอนเวลาที่ผมต้องนั่งทำรายงานหรือว่าอ่านหนังสือ
พออยู่ไปเข้าสัปดาห์ที่ 2 เหตุการณ์แปลกๆก็เริ่มเกิดขึ้น คืนหนึ่งขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ ตอนนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตู ตอนแรกในใจก็คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมอพาร์ทเม้นที่บางครั้งบางคราวก็จะมีเพื่อนบ้านแวะมานั่งเล่นในห้อง
แต่ว่าพอเปิดประตูออกไปดูผมก็เห็น พนง.จากร้านพิซซ่าแห่งหนึ่งยืนถือกล่องพิซซ่าอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจก็คือ แม้ว่าชายคนนี้จะใส่ชุด พนง.ของร้านอย่างเต็มยศ แต่ว่าเสื้อผ้าหน้าตาของชายคนนี้กลับดูมอมแมมไม่สะอาดสะอ้าน ซึ่งค่อนข้างผิดวิสัย สำหรับผู้ที่ทำอาชีพให้บริการเกี่ยวกับอาหาร
ซึ่งคืนนั้นผมเองไม่ได้สั่งพิซซ่ามาทาน และจริงๆแล้วก็ไม่เคยใช้บริการของร้านนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ก็เลยบอกกับทาง พนง.คนนั้นว่า “ห้องผมไม่ได้สั่งพิซซ่าครับ น่าจะเป็นของห้องอื่นมากกว่า” พนง.ชายคนนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่ง มองมาทางผม ทำปากขมุบขมิบ พึมพำๆอะไรสักอย่างซึ่งผมจับใจความไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกแปลกๆและก็ไม่ค่อยดีนัก ผมก็เลยบอกย้ำอีกครั้งนึงว่า “พิซซ่าถาดนี้ไม่ใช่ของผม” พอพูดจบผมก็ปิดประตูแล้วก็เดินกลับไปอ่านหนังสือต่อ
ในคืนวันถัดมา เวลาเดียวกันคือตอน 3 ทุ่ม ก็มีเสียงกริ่งที่หน้าประตูบ้านของผมเช่นเคย เมื่อผมเดินออกไปเปิดประตู สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งก็คือ ผมเห็น พนง.ส่งพิซซ่าคนเดิม แต่งตัวสกปรกเหมือนเดิม ยืนอยู่หน้าประตู ลักษณะท่าทาง และอากัปกิริยาก็เหมือนเดิม นั่นคือชายคนนั้นยืนอยู่หน้าประตู มองมาทางผมแบบนิ่งๆ บ่นพึมพำๆ แต่ครั้งนี้ผมมีโอกาสได้สังเกตุ รายละเอียดต่างๆมากขึ้น นั่นทำให้ผมได้เห็นว่าเสื้อผ้าและหน้าตาที่สกปรกของชายคนนี้ทั้งเปียกไปด้วยน้ำและเลอะไปด้วยโคลน
วินาทีนั้นผมเริ่มไม่แน่ใจว่าทำไมชายคนนี้ถึงได้เปียกปอนและเลอะเทอะได้ขนาดนี้ แต่ด้วยกิริยาท่าทางของเขาที่ดูแล้วยังไงก็ผิดปกติและก็น่ากลัวอยู่ ทำให้ผมตัดสินใจไม่พูดอะไรกับเขา ได้แต่ปิดประตูแล้วก็เดินกลับเข้าห้องเหมือนเดิม
ในใจผมตอนนั้นได้แต่คิดถามตัวเองว่า พนง.คนนี้เป็นชายเสียสติใช่หรือไม่ ซึ่งถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริงๆ การที่เขามาที่ห้องของผมทุกคืนเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยกับผมแน่ๆ ถ้าเกิดในวันพรุ่งนี้ชายคนนี้ยังมาอีก ผมต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
แล้วในคืนถัดมา คืนที่ 3 ก็เป็นไปอย่างที่ผมคาดเอาไว้ พอได้เวลา 3 ทุ่ม เป็นเวลาที่ พนง.คนนี้จะมากดกริ่งที่หน้าห้องของผม คราวนี้ผมไม่ได้เปิดประตูแต่ใช้วิธีแอบดูผ่านช่องตาแมว และก็พบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูในคืนนี้คือ พนง.คนเดิมจริงๆ
ตอนนั้นตัดสินใจว่า ยังไงๆก็ต้องโทรกลับไปที่ร้านพิซซ่ายี่ห้อนี้ แล้วแจ้งว่ามี พนง.จากร้านเอาพิซซ่ามาส่งให้ผมติดๆกัน 3 คืนแล้ว แต่ผมเองไม่ได้สั่ง ทางร้านก็เช็ตข้อมูลแล้วชี้แจ้งกลับมาว่าทางร้านก็ไม่ได้มีออเดอร์จากที่อยู่ของผมเหมือนกันในช่วง 3 คืนนี้ และก็ยังถามผมให้ตรวจสอบ อีกครั้งนึงว่า พนง.คนนี้มาจากร้านของเขาจริงๆหรือเปล่า ผมก็ได้อธิบายรูปร่างหน้าตาและเครื่องแต่งกายให้ พนง.ที่อยู่ปลายสายรับฟัง ผมบอกเขาไปว่าคนที่มาส่งของนั้นใส่หมวกและใส่ชุด พนง.สีน้ำเงิน แต่เสื้อผ้าหน้าตานั้นเลอะเทอะมาก
พนง.ที่รับสายอยู่นั้นนิ่งไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ทางร้านของเราไม่มีชุด พนง.ส่งของสีน้ำเงินอีกแล้ว ชุดสีน้ำเงินนั้นเป็นชุดฟอร์มของทางร้านเมื่อปีก่อน ตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้สีอื่นแล้ว” ผมได้ยินดังนั้นก็สับสน เพราะไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่หน้าห้องนั้นเป็นใคร ผนวกกับ พนง.ส่งของที่อยู่หน้าห้องนั้นก็ยังคงกดกริ่งไปเรื่อยๆ และก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมเดินไปง่ายๆ
พนง.ของทางร้านซ่าที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นก็ถามให้ผมทวนที่อยู่ของอพาร์ทเม้นแห่งนี้อีกที แล้วเขาก็ได้ให้ข้อมูลบางอย่างที่ทำให้ผมขนลุก นั่นคือ โดยปกติของทางร้านมีความภูมิใจมากที่สสามารถส่งพิซซ่าให้ถึงมือลูกค้าภายในเวลา 20 นาที ยกเว้นเพียงครั้งเดียว นั่นก็คือเมื่อปีก่อน มีพนง.ของทางร้านประสบอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถส่งพิซซ่าได้ทันเวลา จึงต้องส่ง พนง. อีกคนไปแทน หลังจากนั้นอีก 1 ชม. และในครั้งนั้นที่อยู่ในการส่งออเดอร์ก็คืออพาร์ทเม้นที่ผมอยู่ ณ เวลานี้ พนง.ไม่ได้บอกผมว่าคนที่มาส่งพิซซ่าคนแรกที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อปีก่อนนั้นเสียชีวิตหรือไม่อย่างไร แต่ว่าข้อมูลเพียงเท่านี้ที่ผมได้รับก็เริ่มทำให้ผมใจคอไม่ดี ไม่มีอารมณ์แม้จะตอบ พนง.ที่อยู่ในโทรศัพท์ ผมจึงกดตัดสายไปเฉยๆ
เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ยังคงดังเป็นระยะๆ ผมตัดสินใจเดินไปที่ประตู ส่องตาแมวอีกครั้ง พนง.ส่งของยังคงยืนอยู่ที่เดิม และก็ทำท่าทางเหมือนเดิม ผมเองไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไม่กล้าที่จะเปิดประตูออกได้แต่นั่งตรงประตู ให้เสียงกริ่งนั้นดังไปเรื่อยๆ
เสียงบ่นพึมพำที่ก่อนหน้านี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ตอนนี้ก็เริ่มจะได้ยินชัดเจนขึ้น “ทางเราขออภัยที่มาส่งออเดอร์ช้านะครับ” เสียงนั้นเริ่มจะได้ยินชัดเจนขึ้น ในการพูดแบบตะกุกตะกัก เมื่อจับใจความของคำพูดนี้ได้ ผมแน่ใจแล้วว่า พนง.ที่ไปส่งพิซซ่าไม่ทันเมื่อปีที่แล้ว คงเป็นคนที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง ณ เวลานี้ ในใจได้แต่ภาวนาให้เหตุการณ์นี้จบลง
แล้วโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว เสียงกริ่งก็หยุดลง ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองออกไปนอกประตูตลอดทั้งคืนนั้นก็เลยรอจนเช้า แล้วค่อยออกจากห้อง
ตอนเช้าผมตัดสินในเปิดประตูดู ก็พบว่ามีกล่องพิซซ่าเปียกๆ ผุๆอยู่กล่องหนึ่งวางอยู่ที่หน้าประตูห้อง มีร่องรอยของโคลนและเศษพิซซ่ากระจัดกระจายออกมาจากกล่อง เมื่อเห็นเช่นนั้นผมตัดสินใจได้แล้วว่าคงต้องย้ายออกจากอพาร์ทเม้นนี้ และก็คงไม่รอว่าในคืนนี้จะมีใครมาส่งพิซซ่าที่ห้องของผมอีกหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาพักที่นี่น เจ้าของห้องเดิมได้เจอเกตุการณ์แบบที่ผมเจอหรือไม่ และผมก็ไม่อยากจะคิดต่อว่าหลังจากที่ผมย้ายออกไปแล้ว คนที่มาอยู่ต่อจะได้ยินเสียงกริ่งที่หน้าประตูทุกคืนตอน 3 ทุ่มหรือเปล่า… เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้…
ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน