เรื่องนี้แม่เป็นคนเล่าให้ฟัง ยายเองก็รู้เรื่องเหตุการณ์ดี ตอนนั้นเราจึงไปซักยาย คะยั้นคะยอ ว่าเล่าให้ฟังหน่อยอยากรู้มากๆ
เริ่มเรื่องเลยนะคะ ยายเรามีลูกทั้งหมด4คน แม่เราเป็นพี่คนโต คนที่2เป็นผู้หญิง สมมุติว่าชื่อ น้าน้อย นะคะ คนที่3เป็นผู้ชาย สมมุติว่าชื่อ จ่อย ส่วนคนเล็กนี่ไม่ขอเล่านะคะเพราะตอนนั้นน้ายังเล็ก จำเหตุการณ์อะไรไม่ค่อยได้
ตาเสียตอนแม่อายุ15 จบ ม.3 พอดี น้าน้อยอายุ 14 แต่หัวไม่ดี เลยจากออกโรงเรียนตั้งแต่จบ ป.6 ส่วนแม่ก็ไม่ได้เรียนต่อเหมือนกัน ออกจากโรงเรียน มาช่วยยายทำนา แม่ต้องเป็นเสาร์หลักของครอบครัว พอหมดฤดูทำนา แม่จะพาน้าน้อยไปรับจ้างได้เงินวันละไม่กี่สิบบาท มันหนักมากเลยนะคะ สำหรับเด็กอายุ15 ที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว ยายเล่าว่าตอนที่แม่กับน้ายังเป็นสาว มีหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ มาจีบมากหน้าหลายตา เรียกว่าหัวบรรไดบ้านไม่เคยแห้งกันเลยทีเดียว
ตอนนั้นยายคงสงสารแม่ ที่ต้องทำงานงกๆ จึงพูดกับแม่ว่า จะให้แต่งงานกับพ่อ แต่ด้วยความที่ว่าทั้งสองคนไม่ได้รักกันเลย ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ แม่ก็ไม่ปฏิเสธยายไป แม่พูดว่า เข้าใจดีว่าบ้านต้องการผู้นำ พ่อกับแม่จึงโดนคุมถุงชน ให้แต่งงานกัน ตอนนั้นยายรู้ดีว่าแม่รักผู้ชายอีกคน แต่ที่แต่งงานกับพ่อเพราะความจำเป็น ยายเองก็เห็นแม่ไม่มีความสุข จึงได้พูดไว้ว่าลูกสาวที่เหลืออีกสองคนถ้ารักใครชอบใคร อยากแต่งกับใคร ก็คงไม่บังคับจิตใจลูกอีก
ส่วนน้าน้อย ก็มีหนุ่มๆ ต่างบ้าน ต่างอำเภอ มาจีบไม่เว้นวันเช่นกัน รวมถึงน้าอ่วม หนุ่มบ้านเดียวกัน รุ่นราวคราวเดียวกับน้าน้อย ยายเล่าว่าน้าอ่วมชอบน้าน้อยตั้งแแต่ อนุบาล ตอนเด็กๆน้าอ่วมได้เงินไปเรียนอาทิตย์ละ 1 บาท ก็จะแบ่งมาให้น้าน้อย 50 สตางค์ จนพอโตเริ่มเป็นหนุ่ม ได้อะไรก็มักเอาส่งเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยน แต่น้าน้อยกลับไม่เคยมีใจให้น้าอ่วมเลย แถมยังเป็นคนพูดจาแรงๆ คิดยังไงก็พูดไปอย่างนั้น
วันหนึ่งมีหนุ่มต่างอำเภอคนหนึ่ง มาจีบน้าน้อย ชื่อ น้าพุด น้าน้อยก็มีใจให้กับน้าพุด ก็จีบกันได้สักพัก น้าพุดจึงเข้ามาคุยกับยายว่าจะให้แม่มาขอน้าน้อย ยายก็ถามความสมัครใจลูกสาว น้าน้อยบอกยายว่า ชอบน้าพุดอยู่เหมือนกัน ข่าวลือสพัดรวดเร็ว เหมือนดั่งลมพัดขรี้
ก่อนวันที่น้าพุดจะมาตกลงค่าสินสอด คืนนั้นน้าอ่วมได้มาหาน้าน้อยที่บ้าน เรียกอยู่นานพอควรน้าน้อยก็ไม่ออกมาพบ ยายจึงบอกให้น้าน้อยออกมาคุยกับน้าอ่วม ยายพูดว่า”คุยกับเขาดีๆ บอกเขาดีๆ แม่ว่าเขาคงเข้าใจ” น้าน้อยก็หน้าบูดหน้าบึ้ง ออกมาจากห้อง คืนนั้นยายยังไม่หลับ จึงได้ยินบทสนทนา ของทั้งคู่ชัดเจน “เมิง….มาทำไมอีกไอ้อ่วม” น้าอ่วมไม่อ้อมค้อม ยิงคำถามตรงๆเลยว่าน้าน้อยจะแต่งงานกับหนุ่มบ้านไกลคนนั้นจริงๆหรือ น้าน้อยก็ตอบว่าใช่ พรุ่งนี้จะตกลงค่าสินสอดกัน น้าอ่วมขอน้าน้อยว่าอย่าแต่งกับน้าพุดได้ไหม ฝ่ายนั้นให้สินสอดเท่าไหร่ น้าอ่วมจะให้มากกว่าเป็นเท่าตัว น้าน้อยเลยตัดรำคราญ พูดตรงๆ ว่าไม่เคยรักน้าอ่วม ไม่เคยคิดจะรัก และชาตินี้ก็จะไม่รัก ต่อให้เหลือผู้ชายคนเดียวในโลกก็จะไม่เอาน้าอ่วมมาทำผัว น้าอ่วมขู่น้าน้อยว่า จะผูกคอตาย และสั่งเสียไว้ว่าชาตินี้จะรักน้าน้อยคนเดียว และจะรักน้าน้อยทุกๆชาติ….
น้าน้อยก็คิดว่าเป็นแค่ คำขู่ น้าอ่วมคงไม่กล้าทำจริงๆ เลยไล่น้าอ่วมกลับไป ส่วนน้าน้อยก็กลับเข้าห้อง ไปนอน ยายเองซึ่งนอนแอบฟังอยู่ตอนนั้น ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าน้าอ่วม จะรักแรงถึงขนาด ยอมตาย
พอรุ่งเช้ามีคนมาเล่าให้ฟังว่า น้าอ่วมผูกคอตาย ยายจึงรีบวิ่งไปดู ส่วนน้าน้อยซ็อคมาก และกลัวมาก ไม่กล้าไปดู พอยายไปถึงบ้านน้าอ่วม เสียงร่ำไห้ ระงมทั่วบ้าน คนยืนมุงกันจนเต็มถนน สภาพศพตอนนั้น ตาถลน ลิ้นเหยีดยาว ขี้เยี่ยวเล็ดกางเกง สงสัยว่าตายตั้งแต่เมื่อคืน และพบจดหมาย ลาตาย 1ฉบับ ที่น้าอ่วมเขียนไว้ก่อนตาย
ในเช้าวันนั้น หมอผี ก็มาทำพธี “กันบ้าน” คล้ายๆกับปิดหมู่บ้าน คนในไม่ให้ออก คนนอกไม่ให้เข้า ตอนนั้นแม่ตั้งท้องเราได้ประมาณ7เดือน เป็นช่วงฤดูเกี่ยวข้าว พ่อกับแม่ ไม่ได้กลับเข้าหมู่บ้านมาหลายวัน ซึ่งวันนั่นเป็นวันที่พ่อจะตีข้าว น้าจ่อยกับเพื่อนมาอยู่ที่ทุ่งนากับแม่ ตั้งแต่ขนมัดข้าวเข้าลาน กองๆกันไว้แล้ว หนุ่มๆวัยรุ่นก็ช่วยกันตีข้าว เย็นวันนั้นแม่ทำกับข้าวที่เถียงนา แม่ถามน้าจ่อยว่า เพื่อนเอ็งมากันกี่คน น้าจ่อยบอกแม่ว่าเพื่อนมากัน 13 คน แต่พอตอนมากินข้าว แม่นับยังไงก็นับได้แค่12คน จึงคิดว่า เอ่อ อีกคนเขาคงนังไม่หิว เลยไม่ขึ้นมากิน
พอกินข้าวเย็นเสร็จ ทุกคนก็ลงมาตีข้าวในลานต่อ ตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม กว่า ๆ ได้ยิน น้าจ่อยคุยกันว่า อยากสูบยาเส้น แต่ยาเส้นอยู่บนเถียงนา(ที่แม่เรานอนอยู่) พอสิ้นเสียง มีมือหนึ่งมาจับมือแม่ มือนั้นเย็นยะเยือกมาก แม่จึงหยิบห่อยาเส้นใส่มือนั้น เพราะคิดว่าคงเป็นเพื่อนน้าจ่อยที่มา แต่ก็แอบคิดในใจว่าทำไมมันมาเร็วนักวะ สักพักเวลาผ่านไป ประมาณ 15 นาทีมีคนวิ่งมาที่เถียง “พี่…เอายาเส้นให้หน่อย” แม่ก็ตกใจ เอาแล้วไง แล้วเมื่อกี้ ใครมาเอา เพื่อนน้าจ่อยก็บอกว่า ยังไม่มีใครมานะ ทุกคนอยู่ลานข้าวกันหมด ผมก็เพิ่งวิ่งมาเนี่ย…..แม่มองไปที่ ห่อยาเส้น มันยังวางอยู่ข้างมุ้ง ตรงที่แม่หยิบใส่มือนั้น แม่เองก็รู้แล้วว่าคืออะไรแต่ก็ข่มตานอนจนเช้า
เช้ามาแม่เล่าให้พ่อกับน้าจ่อยฟังเรื่องเมื่อคืนที่แม่เจอ ทุกคนลงความเห็นเดียวกัน ว่าคงเป็นผี น้าอ่วม คงมาช่วยเพื่อน ๆ ตีข้าว แม่จึงบอกน้าจ่อย ลองนับดูดี ๆ ว่าเพื่อนมาช่วยกี่คน จะนับกี่รอบ ๆ ก็นับได้แค่ 12…….”ฮ่วย”…..น้าจ่อยอุทาน แล้วทำไม เมื่อคืนนับได้ 13 คนวะ
ส่วนทางบ้าน ยายได้พาน้าน้อยไปงานศพน้าอ่วม คนในงานมองน้าน้อยแปลกๆ โดยเฉพาะญาติของน้าอ่วม ยายพาน้าน้อยเข้าไปช่วยงานในครัว ก็มีคนพูดเข้าหูให้ได้ยินว่า “ผูกคอตายเพราะผู้หญิงคนนี้ล่ะ” ทุกคนต่างพากันซุบซิบนินทา จนน้าน้อยอยู่ไม่ได้ รีบกลับบ้านก่อน ยายเล่าว่าน้าน้อยเองก็รู้สึกผิด จนวันถึงวันเผา น้าน้อยกลัวมาก ตอนขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ ก็ไม่กล้ามองหน้าศพน้าอ่อม เพราะกลัวภาพติดตา แต่ยายแอบมองนิดหนึ่งเล่าว่า น้าอ่วมตายตาไม่หลับ สัปเหร่อเอามือลูปปิดแล้ว แต่ก็หลับไม่มิด หน้ากลัวมาก งานศพก็ผ่านไป เหมือนทุกอย่างจะปกติ แต่น้าน้อยเหมือนคนจิตตก ได้ยินเสียงอะไรก็กลัวไปหมด จะเข้าห้องน้ำแต่ละทียายต้องมาลงมาเฝ้าหน้าห้องน้ำตลอด
ตอนนั้นแม่ใกล้จะคลอดเรา พอดีเกี่ยวข้าวเสร็จ พอก็ขนข้าวขึ้นเล้า หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่า ๆ แม่ก็คลอดเรา สมัยก่อนไม่ได้ไปโรงบาลนะคะ ยายเราเป็นหมอตำแย ออกกันตรงชานเรือนเลยค่ะ แม่เล่าว่าเอา “รก” เราไปฝังไว้ได้บันไดบ้าน แล้วเอาหนามโปะไว้หนาๆ ไม่อย่างนั้น กระสือ จะมาขุด (ความเชื่อเรื่องฝังรก เพื่อให้คน ๆ นั้นไม่ลืมถิ่นถานบ้านเกิด) ตอนแม่อยู่ไฟที่ชานเรือน คืนแรกเลย ประมาณตี 2 ทุกคนในบ้านหลับหมด แม่มองลอดไม้พื้นเห็นแสงไฟดวงสีส้มๆ แดงๆ ตรงน้ำครำ ข้างล่าง แม่เขี่ยขี้ไฟร้อนๆแดงๆ ลงรู แล้วแสงก็ดับไป
หลังจากนั้นไม่นานน้าน้อย ก็แต่งงานกับน้าพุด ทั้งเขยใหญ่ เขยเล็ก ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นดี ยายได้ยินข่าวแว่ว ๆ เรื่องเนื้อความในจดหมาย ลาตายของน้าอ่วม ทำนองว่าจะตาม เอาของที่น้าน้อยรักมาอยู่ด้วย แต่จริงๆบ้านเราไม่มีใครได้อ่านจดหมายฉบับนั้น แต่คนที่ได้อ่านแล้ว เขามาเล่าให้ฟัง ทำนองสาบแซ่งน้าน้อย จะตามน้าน้อยไปทุกๆที่ ไม่มีใครแก้ไขอดีตได้ น้าน้อยก็ไดด้แค่ ไปวัดทำบุญอทิศส่วนบญให้น้าอ่วม
ต่อมาไม่นานนักน้าน้อยท้อง ตอนนั้นน้าพุด อยากออกเรือน เพราะยายแบ่งที่ทำกินให้แล้ว คนละ20ไร่ และแบ่งที่ปลูกบ้านให้อีกต่างหาก แต่ตอนนั้นยายยังไม่ให้ออกเรือน เพราะน้าน้อยท้องอยู่ ไว้คลอดแล้ว แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกค่อยย้าย ตอนนี้ให้อยู่กับยายไปก่อน
แม่ว่าจริงๆแล้วเราจะเกิดก่อนน้อง 13 เดือน แต่น้าน้อยคลอดก่อนกำหนด อายุครรย์เพิ่งได้แค่ 7 เดือน น้องเกิดมาเป็น ผู้หญิงตัวเล็กมาก และตอนคลอดก็ไม่ร้อง ป้อนนมก็ไม่กิน คือนิ่งๆอ่ะ แต่ยังหายใจอยู่ แล้วสักพักน้องก็หายใจรวยริน ยายอุ้มน้องวิ่งไปให้หมอธรรมเป่ากะหม่อม………เงียบ……….ไม่มีสัญญาณตอบรับ ตาหมอธรรมบอกกับยายว่าเขาแค้นแรงมากนะ แต่ฝั่งเราก็เหมือนมีของดีคุ้มครอง เขาถึงทำอะไรได้ไม่มาก
ยายกระเต็งหลานไปบ้านหมอธรรมอีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อให้ช่วยเป่า เพราะยังมีหวัง ก็อีกเหมือนเดิม ไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้ ยายอุ้มหลานขึ้นมาบนบ้านเข้าไปปลอบ ใจน้าน้อย “ทำใจเถอะนะลูกเอ้ย” แล้วหันมาบอกน้าพุดให้ไปขุดหลุมเตรียมฝัง น้าน้อยกอดน้องร้องไห้ ปริ่มจะขาดใจ “อย่าเพิ่งฝังเลยนะแม่ ขอดูให้แน่ใจอีกสักคืนก่อนเผื่อลูกจะฟื้นคืน” ยายก็สงสารน้า เลยไม่ห้ามอะไร
ตอนเย็นชาวบ้านได้ยินข่าว คนในหมู่บ้านก็มาถามไถ่กัน มียายคนหนึ่งแนะนำให้ไปเป่ากับลุง…แกไม่ใช่หมอธรรมนะคะ แต่แกมีวิชาคาถา(ไม่ได้เปิดสำนัก) เอาวะไม่มีอะไรจะเสีย “ลองดู” ยายก็กระเต็งหลานไปอีก ลุง…สวดคาถาสักพักอมน้ำมนต์ พ่นลงบนร่างน้อยๆ เสียงร้องจ้าตามมาทันที ขี้แตก เยี่ยวราด ตรงนั้นเลย พอกลับมาบ้านก็เหมือนเด็กปกติ ตั้งแต่นั้น ลุง…ก็ได้บอกว่าน้องคือลูกสาวของลุง (น้องจะได้แข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุข) แต่ก่อนคนเก่าแก่โบราณเรียกโรคนี้ว่า “กำเริบ”
พอน้องเริ่มโตประมาณ 1 ขวบ น้าพุดก็พาน้าน้อยออกเรือนมาอยู่นา ไกลจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ก่อนไม่มีรถนะคะ เดินค่ะดินลูกรังแดง ๆ ฝุ่นตลบ ผ่านป่าผ่านหนอง ผ่านทุ่งนา อยู่มาเรื่อยๆ ประมาณ 7-8 ปี น้าน้อยท้องค่ะ แกดีใจมาก ตั้งแต่อยู่กินกับน้าพุด น้าน้อยไม่เคยคุมกำเหนิดเลยนะคะ น้าท้องได้ 3 เดือนกำลังจะเข้าเดือนที่ 4 คืนนั้นน้าน้อยฝันเห็นน้าอ่วมมายืนอยู่หน้าบ้าน เหมือนเข้ามาในบ้านไม่ได้ จ้องมองมาที่น้าน้อย ตาเขม็ง แล้วอยู่ ๆ น้าอ่วมก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวมาก แล้วอยู่ ๆ คอก็หัก พับลงตาถลนออก แต่ปากยังยิ้มอยู่ น้าน้อยสดุ้งตื่นและคืนนั้นก็ไม่กล้านอนต่อ
เช้ามาน้าน้อยมาเล่าให้แม่เราฟัง แม่เราปลอบน้าน้อยว่าไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่ฝัน พอสายมาหน่อยประมาณ 10 โมงกว่าๆ น้องวิ่งมาเรียก แม่เราที่บ้านบอกว่า น้าน้อยปวดท้อง แม่รีบวิ่งไป ภาพที่เเห็นคือ น้านั่งอยู่พื้นห้องน้ำ เลือดท่วมขา เป็นกอง ๆ เหม็นกลิ่นคราวเลือดคละคลุ้งเต็มไปหมด แม่รีบพาน้าน้อยส่งโรงบาล สรุปเด็กเสียชีวิตแล้วค่ะ หมอถามว่าล้มหรือเปล่า น้าบอกไม่ได้ล้ม ปวดท้องเข้าห้องน้ำ พอเดินเข้าไปยังไม่ถึงโถส้วมเลย เลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด หมอตรวจร่างกายน้าน้อย บอกว่ามดลูกก็ปกติ หมอจึงให้พักฟื้น และให้ยาบำรุงมากิน
ปีต่อมาน้าน้อยท้องอีกรอบ เหมือนหนังม้วนเก่าเลยค่ะ กำลังจะเข้าเดือนที่ 4 แท้งอีก เหมือนว่าพอจะมีเรื่อง ร้ายๆ เกิดกับตัวเอง น้าน้อยต้องฝันเห็นน้าอ่วมทุกๆครั้ง จนพอเราเริ่มโต จนจำความได้ และรู้เรื่องบ้าง ตอนนั้นเราอยู่ประมาณ ป.6 น้าน้อยมาที่บ้านเราตั้งแต่เช้า ร้องไห้มาด้วยเราก็งง ๆ คือตอนนั้นเราไม่รู้ว่าน้าท้องอีกแล้ว (3 ปี ซ้อน) น้าน้อยดูมีความหวัง เพราะอยากมีลูกอีก
ที่ร้องไห้มาหาแม่ตั้งแต่เช้ามือ เพราะเมื่อคืนฝันว่าน้าอ่วมมายืนหัวเราะที่หน้าบ้าน (เหมือนเคย) แม่รีบพาน้าน้อย มาหายายในหมู่บ้าน ยายเอาที่นอนมาปู แล้วให้น้าน้อยนอนอยู่เฉย ยายกับแม่ นั่งเฝ้าอยู่ตลอด กลัวว่าจะเกิด อะไรไม่ดีกับน้าอีก แต่แล้วก็เป็นอย่างที่ทุกคนคิด ครั้งนี้น้าน้อยไม่ได้ปวดท้องแต่อยู่ดี ๆ เลือดก็ไหลออกมาเอง วินาทีนั้นยายกับแม่ต่างมองหน้ากัน ยายตะโกนให้น้าพุด รีบไปเหมารถ พาน้าน้อยส่งโรงพยาบาล สรุปวันนั้นก็ไปไม่ทันอีกตามเคย (บ้านเรากับโรงพยาบาลห่างกับประมาณ30กิโลเมตร) น้าน้อยร่ำไห้ หมดหวังแล้ว ด่าสาดเสีย เทเสีย “ต้องการอะไร ทำไมต้องจองเวร จองกรรมกู”
ต่อมาน้าน้อยให้หมอ ฉีดยาคุมไว้เลย แกบอกว่าจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจอีก ผ่านมาอีกหลายปี ตอนนั้นเราอายุ14 ปี น้องลูกน้าน้อย อายุ 13 ปี มีโรงงานจะมาเปิดแถวบ้านน้าพุด โรงงานกว้านซื้อที่ดินแถวนั้นเกือบ 100 ไร่ และ ที่ของน้าพุดก็ติดไปด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าน้าพุด มีที่อยู่กี่ไร่ ย่า (แม่น้าพุด) ขายที่ขายที่ได้เงินประมาณ 3ล้าน ก็แบ่งให้น้าพุด กับน้องสาวคนละราว ๆ 7 แสนบาท ตอนนั้นน้าพุด กลัวว่าญาติจะรู้ว่ามีเงิน ก็โกหกพี่น้อง ว่าย่าแบ่งให้แค่แสนกว่าบาท (น้าน้อยกับผัว กลัวพี่น้องจะไปยืมเงิน) เหมือนว่าทุกอย่างจะดี มีเงินมีทองมากมาย น้าพุดเอาเงินไปซื้อวัวมาเลี้ยงฝูงใหญ่ ลงทุนไปประมาณ 140000บาท เลี้ยงไปได้ประมาณปีกว่า ๆ น้าพุดก็อยากไปทำงานเมืองนอก (มีนายหน้ามาติดต่อ) จึงได้ขายวัวฝูงนั้นในราคาแค่ 60000 บาท แบบว่าขาดทุน ย่อยยับ มีคนในหมู่บ้านที่จะไปต่างประเทศพร้อมกัน 7 คน ทำเรื่องอยู่นานถ่ายรูปโน่นนี่นั่น อยู่หลายอาทิตย์ ละนายหน้าก็มาเก็บเงินก่อน คนละประมาณ 1 แสนกว่าบาท และแล้วนายหน้าก็ หาย ไปกับสายลมแสงแดด(โดนต้ม)
ในปีเดียวกัน เงินก้อนที่ขายที่ได้ น้าพุดเอามาซื้อรถไถแบบเดินตาม จอดไว้ไต้ถุนบ้าน “หาย” ยายเริ่มจะไม่ไหว พาน้าน้อยกับน้าพุดไปดูดวงกับพระ พระท่านบอกแค่ว่า “เขายังไม่ได้ ไปไหนนะโยม มันยังไม่ถึงฆาติของเขา เขายังไปผุดไปเกิดไม่ได้ เขาจึงยังคงวนเวียนไม่ไปไหน” จริงๆแล้ว ยายเองก็ไม่รู้ ว่าจะแก้ยังไง เพราะเราเองนับถือหมอธรรม ไม่ใช่หมอผี แค่รู้ว่าเขาเข้าใกล้เราไม่ได้ ทำร้ายเราชึ่งๆหน้า ไม่ได้ ก็ดีถมเถแล้ว จริง ๆ แล้วเหมือนกับรู้แค่ว่าเขายังวนเวียนไม่ไปไหน นาน ๆ จะมาทีพร้อมเหตุร้าย
2 ปีต่อมา น้องลูกสาวคนเดียวของน้าน้อยก็หนีตามผู้ชายไป ฝ่ายเราก็ไปลากผู้ชายมารับผิดชอบ ตกลงว่าเขาจะมาแต่ง พอถึงวันนัดฝ่ายชายไม่มา อายชาวบ้านเขา 2 เท่าเลย น้าน้อยกีดกันน้องกับผู้ชายคนนั้น น้าน้อยพาน้องหนีมาอยู่ กทม อายที่จะยู่จุด ๆ นั้น พากันมาค้าขายทั้งครอบครัว อยู่ได้สักพัก น้องก็แอบหนีไปหาผู้ชายคนนั้นอีก เริ่มก้าวเข้ายุคที่มีมือถือ ทุกๆอย่างจึงดูง่ายไปหมด น้าน้อยฝืนลูกสาวไม่ได้ จึงยอมให้ฝ่ายชายมาอยู่กินกับลูกสาว โดยที่ไม่ได้ตกแต่งตามประเพณี
น้าพุดรับไม่ได้ เกียดขี้หน้าลูกเขย และพ่อแม่ฝ่ายชาย จึงขอเลิกกับน้าน้อย ต่างคนต่างอยู่ น้าน้อยกับน้อง ช่วยกันค้าขาย เหมือนจะดีขึ้นใช่ไหมคะ แต่เปล่าเลย ปี 2554 น้องท้องเป็นธรรมดา มีผัวก็ต้องท้องได้ แต่น้องยังออกไปค้าขายปกติ
น้าน้อยเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อมาขายบ้าน อ้างกับยายว่าบ้านหลังนี้มีอะไรแปลกๆ (แปลกจริงๆ ) ยายก็ไม่ขวางยอมให้ขาย อยู่บ้าน 2-3 วัน น้าก็กลับ กทม นั่งรถทัวกลับค่ะ คืนนั้นขณะที่หลับอยู่บนรถ น้าน้อยฝันว่า คนที่นั่งข้าง ๆ คือ น้าอ่วม นั่งหันหน้ามาทางน้าน้อย ตลอดเวลาหลายปีที่เคยฝันเห็นน่าอ่อมเขาจะไม่เคยพูดเลย…….แต่คืนนี้บนรถทัว…….”เมิง หนี กู ไม่ พ้น หรอก” น้าน้อยสะดุ้ง เฮือก จ้องคนที่นั่งข้าง ๆ ตาไม่กระพริบ…….คิดในใจไม่ใช่แล้ว น้ารีบโทรหายายกลางดึกคืนนั้นเลย ทุก ๆ คนพอรู้ก็ต่าง ตกใจ คนที่น่าห่วงที่สุดตอนนี้ คือ”น้อง”
อย่างที่ทุก ๆ คนคิดไว้เลยค่ะ สาย ๆ ของวันต่อมาอยู่ ๆ น้องเกิดปวดท้อง แฟนน้องพาไปหมอที่ศิริราช หมอฉีดยากันแท้ง และคอยดูอาการเป็นระยะๆ ยื้อได้ค่อนวันเย็นของวันนั้น หมอบอกว่า หัวใจเด็กเต้น อ่อนมาก ๆ โอกาศรอดแทบไม่มี ที่ยั้งยื้อไว้ได้ขนาดนี้เพราะมาถึงมือหมอเร็วทันท่วงที แต่หมอได้เอาเด็กออกและขูดมดลูกเรียบร้อยแล้ว
ในปี 2554-2555 น้าน้อย ขายที่มรดกที่ยายยกให้จนหมด ที่ตรงนั้นยังเป็น สปก ราคาจึงถูกมาก ยายพยายามห้ามแล้ว แต่ก็เกินจะฉุด ราคาที่น้าขายทั้งหมดรวม ๆ บ้านด้วย ได้ราคาราว ๆ 1,500,000 บาท ซึ่งจริงๆแล้วถูกมากนะคะ น้าทยอยขายทีละแปลงเรื่อย ๆ จนหมด ตอนนี้เจ้าของที่ดินตรงนั้นก็ถือหลายมือค่ะ ทุกๆคนต่างมีสัญญาชื้อขายในมือ แต่ใบ สปก อยู่ใน ธนาคาร ค่ะ ติดหนี้ ธกส อีก 300,000 บาท ยายมารู้ทีหลัง ว่าน้าติดการพนันก็ตอนที่น้าน้อย หมดสิ้นทุกอย่างแล้ว พี่น้องที่เคยช่วยเหลือตอนนี้หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน
2556 น้องเราท้องอีกรอบ ยายไปวัดป่าประจำหมู่บ้าน บนบาลว่าถ้าหลาน คนนี้เกิดมาปลอดภัย แข็งแรง สมบูรณ์ ยายจะมาบวชชีแก้บน 3 เดือน สรุปว่าได้เลี้ยงค่ะ ยายก็ไปแก้บนตามระเบียบ ส่วนน้าน้อย ตอนนี้ ชีวิตเหมือนเดินถอยหลังทีละก้าวๆ ติดหนี้รายวัน ที่บ้านนอก กลับบ้านก็ไม่ได้ กลัวเจ้าหนี้ฆ่าทิ้ง แรกๆ แม่เรากับน้า ๆ ก็ช่วยนะคะ แต่หลัง ๆ นี่เริ่มไม่ไหว เหมือนได้ใจว่าเดี๋ยวพี่น้อง ก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย
ปี 2557 น้าน้อยทะเลาะกับลูกเขย อยากจะให้ลูกช่วยใช้หนี้ที่ตัวเองก่อ ลูกเขยแกจึงพาน้องหนีไปตั้งหลักปักฐานที่จังหวัดอื่น โดยที่น้องเองก็เลือกผัว ไม่สนใจว่าคนเป็นแม่จะอยู่กินยังไง คือทิ้งไปเลย ไม่ติดต่อ ไม่มาหา คงเพราะน้าน้อย ไม่มีมรดกตกถึงมือลูก…..เค้าเลยไม่คิดจะเลี้ยงดู
ตอนนี้น้าน้อย ตัวคนเดียว หันหน้าไปทางไหน ก็มืดไปหมด ส่วน จขกท เองก็แอบช่วยบ้าง เวลาที่แก ไม่มีจะกิน (พ่อเราห้ามยุ่งกับน้าน้อยค่ะ เพราะไปอยู่ที่ไหน เดือดร้อนที่นั่น ต้องมีเรื่องให้ทุกข์อกทุกข์ใจตลอด) เรื่องราวเล่ามาจนถึงปัจจุบันแล้วค่ะ ไม่เห็นหน้ากลัวเลยเนาะ สิ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะคะ บางทีน้าอ่วม อาจจะรอน้าน้อยอยู่ก็ได้