Home คลังหลอน เจ้าที่ภูทอก

เจ้าที่ภูทอก

เจ้าที่ภูทอก
เจ้าที่ภูทอก

เมื่อปีพ.ศ 2540 คุณวิเชียรยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีโอกาสทำกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่บ้านหนองยาว ตำบลชัยพร อำเภอบึงกาฬ  จังหวัดหนองคาย การออกค่ายครั้งนี้มีจุดประสงค์ก็เพื่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้กับหมู่บ้าน ทันทีที่คุณวิเชียรและคณะไปถึงพื้นที่ออกค่าย ก็ยอมรับว่าหมู่บ้านแห่งนี้วิวสวยมาก เพราะว่ารอบหมู่บ้านนั้นมีหนองน้ำขนาดใหญ่ล้อมหมู่บ้านไว้เกือบรอบ ถัดออกไปก็จะมีเทือกเขากั้นไว้ข้างหลัง สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ก็ได้ความว่าเทือกที่ว่านี้เค้าเรียก “ภูทอก” 

เมื่อมีเวลาว่างจากการทำกิจกรรม คุณวิเชียรก็มักจะหาโอกาสพูดคุยกับ “ผู้ใหญ่สูง ยืนยาว” ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ท่านบอกว่าที่ภูทอกนี้มีน้ำตกอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งก็ล้วนแต่มีความงามที่แตกต่างกันออกไป ถ้าจะไปเที่ยวชมก็ต้องพายเรือข้ามหนองน้ำไป เพราะถ้าจะไปทางรถยนต์มันจะเสียเวลา เนื่องจากต้องอ้อมไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ผู้ใหญ่ก็บอกว่า “ เอ่อ…พ่อจะบอกอะไรลูกลูกไว้อย่างหนึ่งนะ ถ้าจะไปเที่ยวน้ำตกที่ภูทอกน่ะ ขออย่าให้พวกลูกๆทำอะไรพิเรนทร์เด็ดขาด โดยเฉพาะที่น้ำตกตากลม คนที่นั่นเขาเชื่อว่าเจ้าที่ท่านแรง” ผู้ใหญ่ก็เอ่ยเตือนทุกคนด้วยความเมตตาและเป็นห่วงเหมือนกับเป็นลูกเป็นหลาน คุณวิเชียรก็ถามว่า “เจ้าที่แรงเป็นยังไงครับผู้ใหญ่” ผู้ใหญ่ก็บอกว่า “ เอาอย่างนี้…ก่อนที่พ่อจะเล่าต่อพ่อขอถามอะไรลูกๆก่อนได้ไหมล่ะ พวกลูกๆเชื่อความเร้นลับของป่าแค่ไหนล่ะ”  ผู้ใหญ่บ้านพูดเพื่อหยั่งเชิง ทุกคนก็ได้แต่งเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ  

ผู้ใหญ่บอกว่า “ป่าเขาลำเนาไพรมันมีเรื่องเร้นลับอยู่มากมาย ที่พวกเราทั้งหลายไม่สามารถจะหาเหตุผลมาอธิบายได้ เมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อนที่พวกเราจะมา ได้มีนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคหนึ่งในจังหวัดหนองคาย เขามาตั้งแคมป์พักแรมลูกเสือบริเวณน้ำตกตากลม เค้าบอกว่าเค้จะใช้เวลาในการตั้งแคมป์เป็นเวลา 2 คืน 3 วัน” ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าระหว่างที่ตั้งแคมป์อยู่ ก็จะมีกิจกรรมต่างๆมากมายตามประสาของพวกออกค่าย ซึ่งคนที่วุ่นที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคณะอาจารย์ผู้ควบคุม ความวุ่นวายมีมากซะจนทำให้คณะอาจารย์ลืมที่จะบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเกี่ยวกับการใช้อนุญาตสถานที่แห่งนั้น  

จนกระทั่งเวลาผ่านไปย่างเข้าวันที่ 2 ของการพักแรม วันที่ 2 นี้เองที่พวกนักศึกษามีกิจกรรมการเดินทางไกล จุดประสงค์ของการเดินทางไกลก็เพื่อให้พวกนักศึกษารู้จักการใช้ชีวิตในการเดินป่า แล้วก็ฝึกการทำงานเป็นทีม การเดินทางไกลของพวกนักศึกษาจะเดินไปเป็นกลุ่ม โดยแบ่งกลุ่มละ 10 คน เมื่อปล่อยตัวไปจำนวนเท่าไหร่ ตอนเข้าจุดเช็คยอดครั้งสุดท้าย ก็จะต้องมีจำนวนเท่านั้นด้วย  การปล่อยตัวก็ใช่ว่าจะไปทั่วทีเดียวหมดทั้งหมู่ ต้องปล่อยตัว 15 ถึง 20 นาทีต่อหมู่ เนื่องจากเมื่อปล่อยแบบติดๆกัน ก็จะเดินไปทับเส้นทางกับอีกกลุ่มก็ได้ทำให้เกิดความยุ่งยากในการเช็คตัว แล้วก็ที่สำคัญพวกนักศึกษาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการฝึกในครั้งนี้  

พวกนักศึกษาในคราวนั้นมีจำนวนเกือบ 200 คน ดังนั้นการปล่อยตัวก็ทำให้เกิดความล่าช้า กลุ่มสุดท้ายที่ถูกปล่อยตัวออกไปก็เกือบ 4 โมงเย็นเข้าไปแล้ว นั่นก็หมายความว่ากว่ากลุ่มสุดท้ายจะไปถึงจุดเช็คตัวก็คงจะมืดค่ำพอดี  

แล้วก็จริงอย่างที่พวกคณะครูได้คาดการณ์ไว้ กลุ่มสุดท้ายเข้าถึงจุดเช็คตัวเกือบจะ 2 ทุ่มเข้าไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่ของคณะครูเหล่านี้ก็คือ การหายตัวไปของนักศึกษาคนหนึ่ง ความชุลมุนวุ่นวายก็เกิดกับพวกตั้งแคมป์ทันที ทั้งหมดออกหาผู้ที่หายไปเป็นการใหญ่ ไฟฉายหลายสิบกระบอกถูก 2 ไปทั่วบริเวณที่มีการเดินทาง ขณะที่บางคนก็เตะโกนเรียกชื่อนักศึกษาคนนั้นกึ่งก้องไปทั่วทั้งป่าในยามค่ำคืน  แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงก็ยังไม่เห็นวี่แววจะเจอนักศึกษาคนนี้ เกือบทุกตารางนิ้วของพื้นที่โดนค้นหมด บางคนให้ความเห็นว่า ในน้ำก็ควรที่จะลงไปสำรวจด้วย เผื่อจะเกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้นกับเด็กคนนี้ ซึ่งหลายคนก็เห็นด้วย  

การสำรวจตามหาตัวเด็กที่หายไป บริเวณที่น้ำตกก็เกิดขึ้น หลังจากที่การค้นหาบริเวณพื้นดินเริ่มหมดหวังแล้ว ถึงจะใช้ความพยายามเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอตัวเด็กนักเรียนที่หายไป หลายคนก็นั่งทรุดตัวลงที่พื้นดินด้วยความอ่อนล้า ครูที่เป็นผู้หญิงบางคนถึงกับร้องไห้ด้วยความท้อแท้ ส่วนพวกที่ลงไปหาในน้ำก็มานั่งผิงไฟ เพื่อลดความหนาวเหน็บ 

ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ ทำไมทางคณะครูจึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้าน อาจจะเป็นเพราะว่ากำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่กับเด็กที่หายไปอย่างเดียว  

บังเอิญเรื่องก็ได้ล่วงรู้ไปถึงหูของพ่อผู้ใหญ่ ซึ่งมีคนในหมู่บ้านขึ้นไปหาของป่าบนภูทอก ไปเจอกันเข้าแล้วก็ไปบอกผู้ใหญ่ว่า เกิดเรื่องเด็กหายขึ้นบนภูเขา พอผู้ใหญ่บ้านรู้เรื่องเข้าก็รีบจัดแจงคนให้ขึ้นไปบนภูทอกทันที ถึงแม้จะเป็นเวลามืดค่ำก็ตาม  

มีบางสิ่งบางอย่างที่ท่านจะไม่ลืมนำติดตัวไปก็คือ เครื่องเซ่นไหว้เจ้าที่ พ่อผู้ใหญ่บอกว่าพอท่านไปถึงที่เกิดเหตุ หลายคนก็มองท่านอย่างง ๆ แต่ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคนพวกนั้นมากนักเพราะว่า ความกังวลใจในเรื่องที่เด็กหายไปมีมากกว่า 

พอไปถึงน้ำตกตากลม พ่อผู้ใหญ่ก็ทำพิธีเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เพื่อขอขมาลาโทษในเรื่องที่นักศึกษาพวกนี้ อาจจะล่วงเกินท่านไปบ้าง พ่อจะมัวโอ้เอ้อยู่ไม่ได้เพราะทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้ พอพ่อผู้ใหญ่ทำบวงสวงเสร็จ ยังไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ ก็เกิดลมกรรโชกขึ้นอย่างแรงบริเวณนั้น มันแรงจนทำให้เทียนที่จุดทำพิธีดับหมด พอเทียนดับและพอทำท่าจะจุดขึ้นใหม่ สายตาของพ่อผู้ใหญ่ก็ไปเจอกับใครคนหนึ่ง เดินตะคุ่มตะคุ่มฝ่าความมืดออกมาจากโขดหินบริเวณน้ำตก 

เนื่องจากพ่อผู้ใหญ่เห็นเป็นคนแรก ก็เลยตะโกนสั่งให้คนที่มีไฟฉายส่องไปยังร่างที่เห็นอยู่ตรงหน้า พอไฟฉายถูกส่งไป ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ร้อง “เฮ้” ออกมาด้วยความดีใจ เพราะร่างที่เห็นคือเด็กนักศึกษาที่หายตัวไปได้กลับมาแล้ว 

จากการที่พ่อผู้ใหญ่ได้สอบถามนักศึกษาคนนี้ ว่าไปทำอะไรมา เค้าเล่าให้ฟังว่าตอนที่กำลังเดินป่าอยู่กับกลุ่มของเค้า  เมื่อผ่านหน้าบริเวณน้ำตก เค้าก็เห็นชายแก่นุ่งขาวห่มขาว ผมสีขาวโพน เดินออกมาจากหลังโขดหิน แล้วชายแก่คนนี้ก็เรียกเค้าเข้าไปคุยด้วย เค้าก็ลังเลอยู่พักนึงว่าจะบอกเพื่อนในกลุ่มดีหรือเปล่า แต่พอไปหันดูเพวกเพื่อนๆ กับพบว่าพวกเพื่อนๆได้หายตัวกันไปหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจอยู่คุยกับคนแก่แปลกหน้าอยากไม่รู้สึกกลัว คนแก่คนนั้นเล่าให้นักศึกษาฟังว่า “ แกอยู่ที่นี่มานานแล้ว เวลาที่ใครผ่านไปผ่านมาแถวนี้ ก็มักจะแวะมาบอกแกทุกครั้งไป  ก็มีแต่นักศึกษาเทคนิคงวดนี้เท่านั้นแหละ ที่ไม่เคยบอกกล่าวให้แกได้รับรู้ ชายแก่คนที่ว่านี้ไม่ได้ถือโทษอย่าโกรธเคืองอะไร 

ก่อนที่นักศึกษาคนนี้จะขอตัวกลับ ก็เป็นจังหวะที่พ่อผู้ใหญ่ทำพิธีเซ่นไหว้พอดี ชายแก่ก็ยังสั่งให้เด็กคนนี้ไปบอกพวกคณะครูว่า “ ทีหลังจะทำอะไรก็บอกให้รู้เรื่องซะบ้าง ไม่ใช่นึกว่าจะทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจตัวเอง เด็กคนนั้นยังบอกกับพ่อผู้ใหญ่ว่า “ตอนที่นั่งคุยอยู่กับคนแก่ข้างก้อนหิน ก็เห็นทุกคนตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรมาโดนใจไม่ให้เขาออกมาจากหลังโขดหิน” 

พ่อผู้ใหญ่คิดว่า ผู้ชายแก่คนนั้น น่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางมากกว่า เค้ามาปรากฏตัวให้เห็น เขาไม่ได้มาหวังจะทำร้ายใครหรอก แต่เค้ามาเพื่อจะบอกเตือนให้รู้  ถึงความไม่รอบคอบของคนที่มาเยือนสถานที่นี้เท่านั้นเอง พ่อผู้ใหญ่แกก็เตือนสติอาจารย์ที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่ที่นั่น

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here