Home กระทู้ผีพันทิป ออฟฟิสชั้น 15 ย่านสุขุมวิท

ออฟฟิสชั้น 15 ย่านสุขุมวิท

ออฟฟิสชั้น 15 ย่านสุขุมวิท
ออฟฟิสชั้น 15 ย่านสุขุมวิท

หลังจากหยุดยาวไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ฉันกลับมาทำงานอีกครั้ง ก่อนลาพักร้อนฉันเคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรติดค้าง และแจ้งกับหัวหน้างานว่า ระหว่างที่หยุดยาวจะไม่ติดต่อกับใครในทุกช่องทางทั้งสิ้น ทั้งโทรศัพท์ ไลน์ หรือเฟสบุ๊ค รอบนี้ฉันอยากพักจริงๆ

งานของฉันนะเหรอคอลเซ็นเตอร์ไง ตอบคำถามลูกค้าเกี่ยวกับสินเชื่อของบริษัท ตั้งแต่แนะนำการสมัคร ตรวจสอบผลการสมัครว่าจะผ่านมั๊ย ผ่านแล้วได้สินเชื่อเท่าไร คิดดอกเบี้ยยังไง ต้องจ่ายเมื่อไร ที่ไหน วิธีไหน ค่าปรับยังไง โอ๊ย…!!! นู่นนี่นั่น สารพัดเยอะแยะแป๊ะขายขวด หลายครั้งยังโดนด่าฟรี งานนี้มันเครียดนะต้องนั่งพูดๆๆ วันละแปดเก้าชั่วโมงเนี่ย เพราะฉะนั้นยามพักฉันก็อยากให้สมองได้ผ่อนคลายมากที่สุดบ้างอะไรบ้าง แต่ยามทำงานฉันก็ทำเต็มที่ไม่มีเกี่ยงนะจะบอกให้ work hard play hard นั่นคือความคิดของฉัน

11.38 น.ฉัน scan ลายนิ้วมือเพื่อเข้างาน อะๆๆๆ อย่างเพิ่งตกใจคิดว่ามาทำงานสายนะจ๊ะ ระดับฉันไม่เคยสาย เดือนนี้ต้องเข้ากะบ่ายจ้า เข้างานเที่ยงตรงเลิกอีกทีสามทุ่ม ลูกค้าโทรมาแทบทั้งวันทั้งคืน บริษัทก็จัดคอลเซ็นเตอร์รับสายลูกค้าตั้งแต่ หกโมงเช้ายันสามทุ่ม แต่เมื่อสองเดือนที่ผ่านมามีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น บริษัทก็เลยขยายเวลาการให้บริการของคอลเซ็นเตอร์ไปถึงเที่ยงคืน พนักงานที่รับเพิ่มก็ยังได้ไม่ครบ ไอ้ที่รับมาแล้วก็ยังฝึกกันไม่เสร็จ ช่วงนี้คนเก่าๆ ก็ต้องสลับกันทำงานช่วงกะดึกไปก่อนจนกว่าทีมจะพร้อม หลังจากแสกนลายนิ้วมือ ฉันก็พาร่างกายที่พะรุงพะรังด้วยของฝาก กระเป๋าถือ และเสบียงที่ต้องใช้ระหว่างทำงานเข้ามาในลิฟท์ ฝากผู้ชายหนึ่งในสามสี่คนในนั้นช่วยกดลิฟท์ไปที่ชั้น 14 ซึ่งเป็นออฟฟิศของส่วนงานสินเชื่อ

ชั้นนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือด้านซ้ายซึ่งเป็นของส่วนคอลเซ็นเตอร์สินเชื่อที่ฉันทำงาน และด้านขวาซึ่งเป็นส่วนติดตามทวงหนี้ซึ่งพวกเราเรียกว่า ฝ่ายคอนเนคชั่น ซึ่งอยู่ติดๆกันกับฝ่ายขายสินเชื่อผ่านโทรศัพท์ แต่ละด้านมีประตูกระจกระบบอัตโนมัติ คือต้องทาบบัตรพนักงานจึงจะเปิดประตูเข้าไปได้ ติดกับลิฟท์เป็นห้องน้ำชายหญิงของพนักงานทั้งชั้น ตึกนี้ไม่มีชั้น 13 นะ เป็นความเชื่อของเจ้าของตึก มีชั้น 12 แล้วก็ไปชั้น 14 เลย แต่อันที่จริงชั้นที่ 14 ซึ่งตอนนี้ประตูลิฟท์เปิดออกแล้ว มันก็คือชั้นที่ 13 นั่นแหละ

ก่อนเริ่มงานฉันเอาของฝากที่ซื้อมาไปให้กับหัวหน้าและเพื่อนๆ ระหว่างนั้นเอง “พี่อ้อย” หัวหน้างานก็เรียกเข้าไปคุย หลังจากถามไถ่เกี่ยวกับการไปเที่ยวมา หัวหน้างานวัยเลยสามสิบก็เอ่ยขึ้นว่า “ส้ม วันนี้ส้มเข้าเที่ยงเลิกสามทุ่มใช่มั๊ย ”ข้อมูลนี้หัวหน้ารู้อยู่แล้ว เขาไม่ได้ต้องการคำตอบเพียงแต่เป็นการเปิดประเด็นเท่านั้น เราตอบว่า“ค่ะ” หัวหน้าก็บอกว่า “วันนี้เชอร์รี่ลาป่วย พี่เลยอยากถามส้มว่า อยู่ถึงเที่ยงคืนได้ไหม รับ OT เพิ่มอีกสามชั่วโมง อีกอย่างทีมที่เลิกสี่ทุ่มกับห้าทุ่มยังไม่มา พี่เลยถามเราก่อน ถ้าไม่สะดวกพี่จะถามกลุ่มนั้นอีกที” หัวหน้ายังเปิดโอกาสให้เลือก ฉันยังไม่ตัดสินใจ แต่ถามต่อ “แล้วต้องอยู่กับใครคะ” หัวหน้าตอบ“กับโคโค่ ไม่เกินบ่ายสามเดี๋ยวก็มา” ฉันบอกว่า “ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา” ฉันตอบพร้อมรอยยิ้มเต็มใจ เพราะนังโคโค่คนนี้สนิทกัน มีเรื่องอยากเมาส์มอยหลายเรื่อง

อ่อจริงๆ เธอชื่อ ณัฐพงษ์ ชื่อเล่น “โคโค่นัท” อันนี้สงสัยตั้งเอง เพื่อนๆก็เลยเรียกกันสั้นๆว่าโคโค่ แล้วเหตุผลสำคัญอีกอย่างก็คือ ช่วงนี้ต้องสร้างผลงานความรับผิดชอบ เพราะได้ข่าวว่าจะมีการปรับตำแหน่งช่วงสิ้นปีนี้ซึ่งก็เหลืออีกไม่กี่เดือน ขืนขี้เกียจเดี๋ยวโอกาสจะหลุดลอย กะสุดท้ายคือเข้างานบ่ายสาม เลิกเที่ยงคืน ซึ่งเพื่อนร่วมงานกะอื่นๆจะทยอยกลับทุกๆ 1 ชั่วโมง จนเหลือชั่วโมงสุดท้ายนั่นคือห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกค้าโทรเข้ามาน้อย บริษัทจึงจัดเจ้าหน้าที่ไว้รับสายเพียงสองคนเท่านั้น

11.56 น. ฉันนั่งประจำที่เปิดสายเพื่อคุยกับลูกค้า ตามความเชื่อของอาชีพอย่างเรา ถ้าสายแรกที่รับลูกค้าคุยดี ไม่โดนลูกค้าโทรมาร้องเรียน ถือว่าวันนั้นเป็นวันดีทั้งวัน จะไม่มีเคสโหดๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ารับสายแรกแล้วเจอลูกค้าวีน วันนั้นซวยทั้งวันเช่นกัน “….ยินดีให้บริการค่ะ …สวัสดีค่ะ” ฉันวางสายแรก ยิ้มอย่างสบายใจ ลูกค้าคนแรกของฉัน ผ่านไปด้วยดี…. หากแต่มันจะเป็นวันที่ดีจริงๆ สำหรับทุกเรื่องหรือไม่

15. 25 น.ฉันเห็นโคโค่นั่งรับสายคุยกับลูกค้าแล้ว ตอนเดินไปเข้าห้องน้ำ ฉันส่งสัญญาณมือว่าให้ไปเจอกันที่ห้องแคนทีน เธอส่งสัญญาณตอบกลับว่าตกลง ขณะที่ปากยังคุยกับลูกค้าในสาย ไม่เกิน 5 นาที เสียงที่คุ้นเคยก็ดังทักทายมาจากด้านหลังขณะที่ฉันยืนชงกาแฟอยู่ในห้องแคนทีน “เป็นยางงายยยย หยุดยาวไปเป็นอาทิตย์” ฉันหันกลับมาตอบว่า“ก็ดีแก ได้พักบ้างก็หายเครียดดี งานเราต้องพักบ้างนะเว้ย เดี๋ยวเครียดตายยยยย” แล้วพูดต่อ “เออ แล้ววันนี้ฉันอยู่กับแกถึงเที่ยงคืนนะ เชอร์รี่มันลาป่วย พี่อ้อยบอกแกยัง” โคโค่ตอบ “บอกแล้วววว สงสัยจะป่วยจริง ปรกติมันไม่เคยลาง่ายๆนะ” โคโค่พูดต่อมาว่า“เออนี่ เมื่อวานได้อ่านข่าวป่าว” ฉันทำหน้างงแล้วถาม“ข่าว’ไร ตั้งแต่หยุดไปฉันไม่ได้ดูข่าวอะไรเลย”  โคโค่บอก “ก็ข่าวที่ตึกเราไง” ฉันถาม “ทำไม ” โคโค่ห่อไหล่ “มีคนโดนแทงตายที่ชั้น 15 !!!!”  

ฉันรู้สึกตกใจเล็กน้อย ใช่…เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะคนที่ทำงานในตึกนี้มีเป็นพันคน คนที่ตายก็ไม่เกี่ยวกับเรา และสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องส่วนตัว ถ้าเป็นอย่างที่คิด อยู่ที่ไหนมันก็ฆ่ากันได้ จริงมั๊ย ฉันพูดพลางจิบกาแฟที่ยังร้อน “เฮ้ย เข้ามาฆ่ากันถึงในนี้เลยเหรอ?” โคโค่บอก “เขาลือกันว่าน่าจะเป็นคนใน ไม่งั้นคงเข้ามาไม่ได้”  ไม่ทันได้คุยต่อ พี่อ้อยก็เดินเข้ามาในห้อง ฉันเลยบอกโคโค่ว่า “เออๆ ไว้ค่อยคุยกันต่อ” ฉันตัดบทกับโคโค่เท่านั้น ยิ้มให้พี่อ้อย แล้วเดินกลับไปทำงานเหมือนจะรู้กัน

งานคอลเซ็นเตอร์พักนานก็ไม่ได้ เข้าห้องน้ำนานก็ไม่ได้ คุยกับลูกค้าแต่ละรายใช้เวลานานเกินไปก็ไม่ได้ มีบันทึกเป็น KPI ของพนักงานไว้หมด นี่คือเหตุผลที่ทำให้เราต้องเลิกคุยกัน แล้วหันมาคุยกับลูกค้าแทน พวกเราทำงานกันไปตามเวลาและหน้าที่….

19.30 น.หลังหมดเวลาพักของ ‘เพื่อนสาว’ โคโค่ย้ายมากดรหัสพนักงานเปิดสายคุยกับลูกค้าที่โต๊ะติดกับฉัน เนื่องจากคนที่เคยนั่งก่อนหน้านี้กลับบ้านไปแล้ว กะที่เลิกสองทุ่มใกล้จะกลับบ้าน ต่อจากนี้จึงเหลือพนักงานอีกสี่กะ คือ เลิกสามทุ่มห้าคน เลิกสี่ทุ่มสามคน เลิกห้าทุ่มสามคน และเลิกเที่ยงคืนสองคน คือฉันกับโคโค่ รวม 13 คน ช่วงสองทุ่มถึงสามทุ่มยังไม่ได้คุยกันกับเพื่อนมากนักเพราะเป็นช่วงที่ลูกค้าโทรเข้ามาเยอะ เรียกว่าเป็นช่วงพีคเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะว่าคุณลูกค้าที่มีอุปการคุณปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็เลยหาเวลาโทรหาคอลเซ็นเตอร์ซะหน่อย

21.19 น.สายของลูกค้าที่โทรเข้ามาเริ่มเบาบางลงแล้วตามเวลา ฉันกดปุ่มล็อกไม่ให้สายเข้าที่เครื่องโทรศัพท์ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นบิดขี้เกียจยาว วันนี้เป็นวันดีจริงๆ ไม่เจอสายของลูกค้าโทรเข้ามาด่าเลย ผิดคับโคโค่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นสีหน้าก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่ค่อยดีกับเธอนัก ฉันลุกไปเข้าห้องน้ำโดยปล่อยเพื่อนให้แก้ปัญหาให้ลูกค้าต่อไป

ห้องน้ำของทุกชั้นจะแยกอยู่คนละส่วนกับห้องทำงาน คืออยู่ด้านนอกติดกับลิฟท์ เมื่อเปิดประตูของส่วนงานออกไป ก็พบว่าส่วนงานขายสินเชื่อและทวงหนี้เลิกงานกันไปหมดแล้วตั้งแต่สองทุ่ม ทั้งส่วนนั้นปิดไฟมืดสนิท สวนที่ฉันอยู่ก็เปิดไฟไว้เฉพาะที่นั่งทำงานและทางเดินเท่านั้น แต่ด้วยผนังตึกส่วนใหญ่ที่เป็นกระจก ทำให้มองเห็นแสงสีของไฟยามค่ำคืนของถนนสุขุมวิทใจกลางกรุงเทพฯ เมืองที่ไม่เคยหลับ บรรยากาศ ณ เวลานี้ ไม่น่ากลัวนัก…

ขณะที่ฉันทำธุระในห้องน้ำอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงถุงพลาสติกที่ดังอยู่แกรกกราก หลังจากทำธุระเสร็จและเปิดประตูออกมา ฉันพบเจ้าของเสียง แม่บ้านของตึกกำลังเก็บขยะจากถังใส่ถุงพลาสติกสีดำ “ยังไม่กลับอีกเหรอคะ” ฉันถามขณะล้างมือ ภาพของแม่บ้านสาวเบื้องหลังสะท้อนอยู่ในกระจกเงาเบื้องหน้า “ใกล้แล้วค่ะ รอแฟนมารับ” เธอตอบมาขณะที่ยังก้มๆเงยๆกับงานของเธอ “วันนี้เลิกดึกเหรอคะ” ฉันถามตามวิสัย ไม่คาดหวังคำตอบที่จริงจัง เธอยิ้มแทนคำตอบโดยไม่ได้สบตา

ฉันกลับมานั่งเปิดเครื่องเพื่อรอรับสายจากลูกค้าอีกครั้ง ขณะที่โคโค่วางสายจากลูกค้ารายล่าสุดเช่นกัน เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อออ วันนี้ซวยจริงๆ เจอแต่ลูกค้าโหดๆ” “เออ เอาน่า เดี๋ยวก็เลิกงานแล้ว” ฉันให้กำลังใจ แล้วพูดต่อ “ว่าแต่เรื่องที่คุยค้างเอาไว้เมื่อบ่ายว่าไงต่อ อยากรู้ๆ” ฉันหาเรื่องคุย

“คืองี้ เมื่อวานนี้ตอนบ่ายๆ มีคนถูกแทงตายที่ชั้น 15 ฉันก็ไม่รู้เรื่องหรอกนะเพราะนั่งรับสายอยู่ในนี้ กว่าจะรู้เรื่องก็เย็นๆไปแล้ว” ฉันถามว่า“แล้วรู้ป่าวว่าเป็นใคร” โคโค่ตอบ“ไม่รู้จักหรอกนะ รู้แต่ว่าเป็น…..แม่บ้าน”

ตอนนี้ฉันเริ่มกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด กลัวทั้งคนที่ฆ่าแม่บ้าน…และ….แม่บ้าน หวังว่าคงจะไม่ใช่คนเดียวกับที่ฉันเจอในห้องน้ำนะ นึกขึ้นได้ขนแขนก็ลุกขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องสั่งการ สามทุ่มกว่าแล้วทำไมแม่บ้านยังไม่เลิกงานกลับบ้าน ความจริงแล้วต้องทำงานจนถึงเวลานี้เลยหรือ และความจริงยิ่งกว่า ตั้งแต่ทำงานมาฉันยังไม่เคยเห็นแม่บ้านทำงานจนถึงเวลานี้ หรือว่าเธอไม่ใช่

“ก็อย่างที่บอก เขาว่ากันว่าน่าจะเป็นคนใน ถึงเข้ามาทำร้ายได้ถึงในตึก ออกข่าวครึกโครม เมื่อวานทั้งตำรวจทั้งกู้ภัยเต็มไปหมด วันนี้ฉันยังเห็นตำรวจมาที่ตึกเราอยู่เลย” โคโค่พูดด้วยน้ำเสียงหวาดๆ

อ๋อ….ผู้ชายสามสี่คนที่ขึ้นลิฟท์มาพร้อมฉันเมื่อเที่ยง แล้วกดลิฟท์ให้หนึ่งในนั้นก็แต่งชุดตำรวจ ฉันเริ่มเชื่อมโยงเหตุการณ์ “ฉันเพิ่งมารู้จากแกนี้แหละ นึกแล้วก็น่ากลัวเน๊อะ สังคมเราอยู่ยากขึ้นทุกวัน”

เราทั้งสองคนนิ่งเงียบ เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะดังขึ้นจนฉันสะดุ้ง ฉันรับสายคุยกับลูกค้าต่อไปตามหน้าที่ เครื่องโคโค่ยังไม่มีสายเข้า เธอหันไปหยิบมือถือมาเล่นไลน์ฆ่าเวลา

22.09 น.ฉันเดินไปพร้อมกับเพื่อร่วมงานสามคนที่เลิกกะสี่ทุ่ม พวกเขาจะกลับบ้านส่วนฉันจะเอาแก้วกาแฟที่กินตั้งแต่ช่วงบ่ายไปล้างที่ห้องแคนทีน ซึ่งอยู่ถัดไปจากหน้าประตู เพื่อนๆโบกมือบ๊ายบายที่หน้าประตูกระจกก่อนจะออกไปลงลิฟท์ “พรุ่งนี้เจอกันนะส้ม ขอบคุณสำหรับของฝากนะ” หนึ่งในนั้นเอ่ย “จ้า..” ฉันโบกมือ พวกเราแยกกัน

ตอนนี้ที่เหลือนั่งทำงานอยู่มีเพียงห้าคนเท่านั้น คือกลุ่มที่ต้องเลิกห้าทุ่มสามคน และ กะสุดท้ายสองคน คนที่น้อย และสายที่นานๆจะมีเข้ามาสักครั้ง บวกกับไฟที่เปิดไว้เฉพาะส่วน มันก็ทำให้ทั้งชั้นแทบจะเงียบสนิท มีเพียงเสียงสนทนาเบาๆของคนที่ไม่ติดสายลูกค้าเท่านั้น

ห้องแคนทีนที่พูดถึงนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ใหญ่นัก หน้าต่างอยู่ตรงข้ามกับประตู ด้านซ้ายเป็นตู้เย็น ถัดไปเป็นโต๊ะวางไมโครเวฟและซิงค์ล้างจานเหนือซิงค์เป็นตู้แขวนสำหรับเก็บของ อีกฝั่งเป็นโต๊ะยาวและเก้าอี้อีกสองสามตัว ใกล้กันเป็นตู้กดน้ำดื่ม ก็คงเหมือนกับห้องพักพนักงานทั่วๆไป แต่สำหรับที่นี่โดยเฉพาะในคืนนี้ ไม่ใช่

ขณะล้างแก้วกาแฟ ฉันมองเห็นท้องฟ้าของปลายฤดูฝนแลบอยู่แปลบปลาบผ่านหน้าต่างกระจก หูยังแว่วเสียงฟ้าร้องมาเป็นระยะ ‘ถ้าโชคดี ฉันคงกลับถึงห้องพักก่อนฝนเทนะ’ ฉันนึกใจใน ฟ้าคำรามอีกครั้งคราวนี้ดังกว่าเดิม ไฟในห้องเริ่มกระพริบ ติดๆดับๆ เสียงฟ้าร้องและไฟตก ติดๆดับๆนั้น ไม่ได้สร้างความตกใจเท่าใดนัก หากแต่สิ่งที่ทำให้ฉันขนตั้งชันไปทั้งตัว ตกใจจนแทบจะกรี๊ดออกมาดังๆ นั่นคือเงา เงาของใครคนหนึ่งปรากฏสะท้อนอยู่ที่กระจกหน้าต่าง ตำแหน่งคือมันยืนอยู่ที่ประตูห้อง ความรู้สึกบ่งชัดว่าเป็นผู้หญิง ฉันหันกลับไปมองทันที ตรงนั้นไม่มีใคร ฉันปิดก๊อกน้ำที่ซิ้งค์ล้างจานและวิ่งออกมาทันที โดยไม่กล้าหันกลับไปมองเพราะกลัวว่าคราวนี้จะไม่ใช่แค่เงา อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจที่มีเพื่อนอยู่อีกสี่คน โคโค่เหมือนจะสังเกตเห็นอาการตกใจของฉันเพราะนั่งอยู่ใกล้ที่สุด “เฮ้ย ส้ม แกเป็นไรป่าว ดูตื่นๆ” 

“ปะ ปะ ป่าว ไม่มีไร” ฉันพูดพร้อมตัดบทด้วยการหยิบมือถือขึ้นมากดค้นหาข่าวที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เนื้อข่าวที่อ่านไม่ทำให้ตกใจเท่ากับภาพของผู้เสียชีวิตนั่นก็คือแม่บ้านของตึก ซึ่งฉันก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งใบหน้าที่เห็นอยู่ในจอมือถือตรงหน้า ก็คือคนเดียวกับที่ฉันเจอในห้องน้ำ ฉันถอดแว่นขยี้ตาแล้วสวมกลับเข้าไปเพื่อมองอีกครั้งให้ชัด มันชัดเข้าไปในความกลัว ตอนนี้ฉันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว นั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ประหลาดอย่างนี้มาก่อน นี่หรือที่เขาเรียกว่าโดนหลอก….“ส้ม” “ส้ม” “ส้ม” คำสุดท้ายโคโค่ขึ้นเสียงสูง พร้อมสะกิดฉันให้รับสายลูกค้า ฉันคงกลัวจนหูอื้อไปจริงๆ ตอนนี้ฉันคุยกับลูกค้าไม่ค่อยรู้เรื่องนัก เพราะในหัวมัวคิดถึงแต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ถ้าเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง ทุกคนคงจะกลัวกันหมด หรือไม่ก็หาว่าเราบ้า ถ้าจะคุยเอาไว้พรุ่งนี้ หรือเป็นที่อื่นน่าจะดีกว่า….

23.26 น. ด้านนอกตึก ฝนยามดึกสาดเทลงมาแล้วอย่างไม่ปราณี เพื่อนสามคนที่เลิกห้าทุ่มกลับไปแล้วเมื่อต้นชั่วโมง ตอนนี้จึงเหลือกันอยู่เพียงสองคนเท่านั้น ณ เวลานี้ สถานการณ์มันยิ่งน่ากลัววังเวง แม้มันจะเป็นออฟฟิศ ที่เราคุ้นเคยก็ตาม และแล้วความรู้สึกดีที่รับสายลูกค้ามาตลอดทั้งวัน ก็เทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้….

“เฮ้ยๆ ส้ม แฟนที่จะมารับฉัน รถเค้าเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรง’บาล ฉันต้องไปก่อนว่ะ” เพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้เอ่ยขึ้นด้วยท่าที่ตกใจร้อนรนหลังจากกดวางสายจากมือถือ

“ฉันโทรบอกพี่อ้อย แล้วนะ… พี่อ้อยให้ฉันบอกยามให้มารออยู่หน้าประตูเป็นเพื่อนแก อีกครึ่งชั่วโมงเอง ฉันต้องไปก่อนนะ” โคโค่พูดต่อพร้อมกับปิดเครื่องคอมพ์ และกดล็อคเอาท์เครื่องโทรศัพท์ ฉันยังอ้าปากค้างนิ่ง

“เอ่อ เอ่อ…แล้ว แล้ว แฟนแกเป็นไรมากป่าว” “น่าจะไม่มากเท่าไร ฉันไปก่อนนะแก บาย” เธอคว้ากระเป๋าสะพายใบใหญ่จากไปพร้อมกับความอุ่นใจสุดท้าย ทิ้งไว้เพียงความโดดเดี่ยว และความรู้สึกกลัวที่เริ่มก่อตัว ฉันมองตามจนสุดสายตา แต่พูดอะไรไม่ออก…

23.44 น.ตอนนี้ฝนเริ่มซาเม็ดไปบ้าง บนถนนยังมีรถวิ่งอยู่พอควร แต่ ณ จุดที่ฉันอยู่ มันเงียบจนน่ากลัว หากมีเสียงอะไรดังขึ้นเล็กน้อย มันก็ทำให้ได้ยินอย่างชัดเจน ความจริงมันไม่น่าเป็นเช่นนี้เลย ถ้าฉันปฏิเสธงานพี่อ้อยไปตั้งแต่ต้น หรืออาจเป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำให้เราต้องมาอยู่ตรงนี้และเวลานี้ก็เป็นได้  

‘เอาน่า….อย่างน้อยก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวก็เลิกแล้ว อีกอย่างยามก็คงขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนที่หน้าประตูแล้วในตอนนี้’ ฉันปลอบใจตัวเอง ฉันอยากให้ลูกค้าโทรเข้ามาบ้าง จะได้รู้สึกว่ามีเพื่อนคุยด้วย แต่น่าแปลกที่ว่าตั้งแต่โคโค่กลับไป ยังไม่มีสายลูกค้าโทรเข้ามาเลย มันเงียบมาก เหมือนโดนขังเดี่ยวในอีกโลก

ฉันหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเฟสบุค เลื่อนดูข้อมูลไปเรื่อยๆ เพื่อรอเวลา ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะเดินช้ามาก หน้าจอมือถือเลื่อนไปจนเจอข่าวอัพเดทเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่ ฉันตั้งใจจะเลื่อนให้ผ่านไปเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้ พลัน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงนี้ทำให้ฉันแปลกใจ เพราะมันไม่ได้ดังมาจากเครื่องที่อยู่ตรงหน้า หากแต่ดังมาจากอีกเครื่องที่อยู่บนโต๊ะของเพื่อนที่เพิ่งเลิกงานไปเมื่อห้าทุ่ม มันห่างไปไม่ถึงสิบเมตร ความจริงมันไม่ควรจะดังขึ้นมาได้ หรือว่าเพื่อนที่เลิกงานไปลืมกดล็อกเอาท์โทรศัพท์ ทำให้สายลูกค้าถูกดึงไปเข้าที่เครื่องนั้น ฉันกำลังจะกดดึงสายมาที่เครื่องของตัวเอง แต่แล้วเหตุการณ์ที่แปลกกว่าก็เกิดขึ้น มี “ใครบางคน” กดรับสายที่เครื่องนั้น ที่สำคัญ Speaker phone ถูกเปิดขึ้น ฉันค่อยๆ ถอด Headset ที่หัวออกเพื่อฟังชัดๆ

“ฮาโหล ผมอยากรู้ว่าสินเชื่อที่ผมทำส่งเข้ามาผ่านหรือเปล่าครับ” เสียงผู้ชายที่โทรเข้ามาดังผ่านระบบ Speaker phone ได้ยินชัดเจนในความเงียบ

“อ้าว คุณไม่รู้เหรอ แล้วเจ้าหน้าที่อยู่ไหน แล้วคุณเป็นใครมารับสายทำไม” เสียงเดิม แต่เหมือนตอนนี้เขากำลังสนทนากับใครคนหนึ่งอยู่ที่ปลายสาย

“ฮ้า แม่บ้าน”  คราวนี้ฉันยืนขึ้น ขยับแว่นแล้วเพ่งมองไปที่จุดนั้น มันไม่มีใครอยู่จริงๆ มันเป็นเวลาที่โหดร้ายที่สุด ฉันตัวแข็งเหมือนโดนสาปเพราะความกลัว    

“คุณไปตามเจ้าหน้าที่ที่คุยกับผมรู้เรื่องมาเลยนะ ผมจะรอ” สิ้นประโยค ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วและเหมือนกำลังถูกสายตาจ้องจากที่ใดที่หนึ่ง เท่านี้คงยังไม่เพียงพอกับความกับความผวาหวาด ฉันขนลุกซู่อ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของฝีเท้าจากตรงนั้นค่อยๆดังใกล้มาที่ฉัน ในความเงียบเช่นนี้มันดังเข้าไปจนชัดในความรู้สึก 

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ”ฉันกรี๊ดสุดเสียงจนลั่นไปทั้งชั้น แต่เสียงนี้คงไร้ความหมายเพราะเหมือนจะไม่มีใครรับรู้เช่นกัน ฟ้าด้านนอกแผดเสียงคำรามก้องผ่าลงมาที่ใดสักแห่ง ไฟฟ้าในบริเวณนั้นทั้งหมดดับพรึบพร้อมกันเหมือนจะหยุดโลกเอาไว้แค่นั้น ไฟฉุกเฉินของอาคารสว่างขึ้นทันทีตรงทางเดินบริเวณประตูและหน้าลิฟท์ ส่วนที่ฉันยืนนิ่งอยู่นั้น มีเพียงแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังทำงานผ่านเครื่องสำรองไฟส่องอยู่สลัวราง ฉันคว้ากระเป๋าถือและโทรศัพท์ที่วางอยู่ติดกัน วิ่งไปที่ประตูทางออกด้วยสัญชาติญาณของการเอาตัวรอด โดยไม่สนใจกับอุปกรณ์การทำงานที่เปิดทิ้งไว้ คว้าบัตรพนักงานที่คล้องคอขึ้นทาบกับเครื่องรับสัญญาณเพื่อเปิดประตู ด้วยอาการสั่นจนแทบจะคุมตัวเองไม่ได้ 

มันไม่เปิด!! คงเป็นเพราะไฟดับ ระบบจึงไม่ทำงาน หรือว่า….มีอะไรบางอย่างเจตนาให้ฉันต้องอยู่ในนี้และที่หน้าประตู ไม่มียามที่โคโค่บอกว่าจะให้มายืนรอ  ฉันทาบบัตรถี่ๆไปที่เครื่องอีกหลายครั้ง เอามือทั้งดันทั้งกระแทกที่ประตู ทุกอย่างนิ่งสนิทเหมือนปฏิเสธคำขอร้องในสถานการณ์ที่เลวร้าย  

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฉันหยุดนิ่งทุกอย่างและค่อยๆหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นคือถังขยะพลาสติกที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรล้มลง มันยังตะแคงและกลิ้งอยู่เล็กน้อย ถัดมาปฏิทินบนโต๊ะก็ร่วงลงเหมือนถูกปัดด้วยมือที่มองไม่เห็น เก้าอี้ที่โต๊ะถัดมาหมุนคว้างจนล้ม ลักษณะเหมือนกับมีคนที่เดินเซจนแทบพยุงตัวไม่ได้กำลังเดินใกล้มาที่ฉัน ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปาก อยากตะโกนให้คนช่วยดังๆ แต่มันเปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่น้อย ขาทั้งสองข้างที่เริ่มสั่นค่อยๆถอยหลังหนีจนสะดุดล้ม ก้นกระแทก กระเป๋าและมือถือหล่นกระจาย แว่นที่ใส่อยู่กระเด็นหลุดเช่นกัน ฉันควานหาอย่างสะเปะสะปะ เสียงเดินอย่างไม่เป็นจังหวะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ แต่คราวนี้ฉันเห็นเป็นร่างคนผ่านสายตาที่พร่ามัว มันใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงหายใจหอบครืดๆสลับกับเสียงวีดเบาๆ เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ร่างนั้นยื่นมือที่ขาวซีดมาหาฉันห่างเพียงเมตร กลิ่นคาวเลือดคลุ้งจนเข้มเข้าไปในคอ ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าแน่น ชันขาจนชิดตัว ร้องให้โฮด้วยความตกใจกลัวอยู่ตรงนั้น แล้วมือที่หนักก็มาจับที่ไหล่  ฉันสะดุ้งสุดตัว ยังร้องให้ส่ายหน้าสะบัดตัวอยู่อย่างนั้นโดยมือทั้งสองข้างยังปิดหน้าแน่น

“คุณส้ม คุณส้มครับ คุณส้ม” เสียงนั้นดังขึ้น พร้อมกับแรงเขย่า จนเรียกสติกลับคืนมา ฉันค่อยๆลืมตาทั้งสองข้าง ที่เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความกลัวที่อาบไปทั้งสองแก้ม ไฟสว่างขึ้นแล้ว ประตูกระจกถูกเปิดกว้างไว้ คนที่อยู่เบื้องหน้าคือ ‘พี่แก้ว’ รปภ.ของตึก ฉันจำได้เพราะพี่แก้วเคยช่วยหาที่จอดรถให้บ่อยๆ

“คุณส้มเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พี่แก้วเอ่ยถามขณะที่นั่งอยู่ตรงหน้า ฉันไม่ตอบแต่ยังสะอึกสะอื้นอยู่ มือหนึ่งปาดน้ำตาส่วนอีกมือควานหาแว่นจนเจอ เมื่อภาพโดยรอบกลับมาชัดดังเดิม ฉันหันมองไปรอบๆอย่างไม่ค่อยเต็มตานัก ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่หายไปแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อคว้ากระเป๋าและมือถือที่หล่นอยู่ใกล้ๆ ได้ก็รีบเดินออกมาทันที พี่แก้วเดินตามมากดลิฟท์ให้โดยไม่เอ่ยอะไรต่อ ขณะที่ฉันยังยืนกอดอกตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก

เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกแม้ยังไม่สุด ฉันรีบก้าวเข้าไปทันที ความต้องการในตอนนี้คือออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดและไกลที่สุด ความรู้สึกของที่ทำงานที่คุ้นเคยและปลอดภัยมันหายไปแล้วโดยสิ้น พี่แก้วผู้รักษาความปลอดภัยและกำลังใจในเวลานี้ก้าวตามเข้ามากดลิฟท์ที่ชั้นหนึ่ง ประตูลิฟท์เลื่อนปิดจนสนิท ลิฟท์ทำหน้าที่เลื่อนลงมาเพียงสามชั้นเท่านั้น โดยไม่ทันตั้งตัวมันกระตุกอย่างแรงจนเราทั้งสองคนต้องเอามือยันไปที่ผนังเพื่อพยุงตัว ใจฉันหล่นตามแรงกระตุก ไฟที่ด้านบนกระพริบเหมือนจะดับ “ทำไมมันต้องมาขัดข้องตอนนี้ด้วยนะ” ฉันพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่สั่น “ลิฟท์น่าจะค้างเพราะไฟดับเมื่อกี้น่ะครับ กระแสไฟคงยังมาไม่เต็มที่” พี่แก้วพูดแล้วคว้าวิทยุสื่อสารที่เหน็บเอวขึ้นมาพูดเรียกเพื่อน รปภ. คนอื่น เงียบ…ไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายทาง น่าจะเป็นเพราะอยู่ในลิฟท์ หนทางสุดท้ายพี่แก้วหันไปที่ปุ่ม Emergency Call ที่สว่างด้วยไฟฉุกเฉินหวังเรียกให้คนมาช่วย กดปุ่มแล้วกรอกเสียงลงไป…ไม่มีเสียงตอบรับ…“ไม่เป็นไรครับ ไฟฉุกเฉินน่าจะติดที่ห้องควบคุมกลางของ รปภ.แล้วครับ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วย”    

ทันทีนั้น ไฟที่กระพริบอยู่ก็ดับลงพร้อมกับความหวังที่เลือนราง ฉันร้อง “เฮ้ย !!!” ด้วยความตกใจ แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนอยู่ด้วย ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความมืดมิด เงียบสนิท มีเพียงเสียงหายใจถี่ๆเท่านั้นที่ได้ยิน ฉันกดเปิดหน้าจอมือถือเพื่อให้พอมีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง ทั้งที่แบตฯใกล้จะหมดเต็มที พี่แก้วกดปุ่มฉุกเฉินและพูดขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แต่ปลายทางยังเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่

ระหว่างรอท่ามกลางความเงียบ ในบรรยากาศที่ความแน่นอนถูกสั่นคลอนจากสิ่งที่มองไม่เห็น สายตาของฉันเหมือนถูกบังคับให้ก้มไปมองที่หน้าจอมือถือ มันยังค้างอยู่ที่หน้าข่าวอัพเดทเหตุฆาตกรรมแม่บ้านสาว รายละเอียดของข่าวเขียนว่า….

“เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. ตำรวจได้นำกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักไม่มีเลขที่ในซอยสุขุมวิท 33 ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของผู้ต้องสงสัยในเหตุฆาตกรรมแม่บ้านสาวของตึกสำนักงานแห่งหนึ่งย่านถนนสุขุมวิท ภายในห้องพักพบของใช้กระจัดกระจายซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการต่อสู้ และยังพบหลักฐานชิ้นสำคัญคือเสื้อเปื้อนเลือด ส่วนอาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุเจ้าหน้าที่ยังหาไม่พบ นอกจากนี้ภายในห้องพักยังพบศพชายอายุประมาณ 35 ปี จากการชันสูตรเบื้องต้นในที่เกิดเหตุ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง หาเหตุมาจากการขาดอากาศหายใจ ที่คอพบรอยเขียวช้ำคล้ายถูกบีบ ทราบชื่อภายหลังคือ “นายแก้ว มังกร” เจ้าหน้าที่ รปภ. อดีตแฟนของแม่บ้านสาวผู้เสียชีวิตซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่นอนและสืบสวนขยายผลต่อไป”

ฉันแทบจะหยุดหายใจ ขาไม่มีแรงจนแทบยืนไม่อยู่ รปภ.ที่ฉันอ่านในข่าว บัดนี้ร่างนั้นยืนหันหลังนิ่งอยู่ข้างหน้าฉันแค่เอื้อม ฉันทำใจดีสู้เสือ… “พะ พะ พี่แก้ว โคโค่บอกให้ขึ้นมารับหนู ชะ ชะ ใช่ไหม” เสียงของฉันตะกุกตะกักจนแทบจะพูดไม่ออก ร่างนั้นยังนิ่ง เหมือนไม่หายใจ ทันใดนั้น ลิฟท์เลื่อนขึ้นทั้งที่ไฟยังดับ !!! แล้วร่างตรงหน้าก็ค่อยๆหันหน้ามา แสงจากมือถือสาดไปกระทบจนมองเห็นได้ชัด ใบหน้ากลายเป็นสีเขียวคล้ำจนเกือบดำ ตาเบิกโพลงสีแดงก่ำ ปากที่แสยะยิ้ม เอ่ยมาด้วยเสียงที่แหบแห้งลากยาวแต่ดังบาดลึกเข้าไปในทุกอณูของความรู้สึก “ปล่าววววว กูมารับแฟนนนนนน”  

‘ติ๊งงงงงงง’    สิ้นเสียงสัญญาณ ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 15 มือถือขึ้นสัญญาณเตือนแบตฯหมดเป็นครั้งสุดท้ายนาฬิกาที่หน้าจอ บอกเวลา… 00.13 น. แล้วหน้าจอก็ดับไปพร้อมกับสติและความรู้สึกของฉัน….

ขอบคุณผู้เขียน วิทยากร ร่อนเร่  ขอบคุณที่มา https://pantip.com/topic/35455668/story

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here