Home คลังหลอน ว่านปริศนา ถ้าโยมว่ามันเป็นปอบมันก็คือปอบ

ว่านปริศนา ถ้าโยมว่ามันเป็นปอบมันก็คือปอบ

ว่านปริศนา ถ้าโยมว่ามันเป็นปอบมันก็คือปอบ
ว่านปริศนา

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หนองจอก กรุงเทพมหานคร เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ช่วงปีพ.ศ 2545 วันนั้นพ่อตาของคุณนพได้โทรให้คุณนพไปรับน้องสาวขอเมีย ชื่อ ฝน ที่จังหวัดอุทัยธานี เพื่อให้มาอยู่กับคุณนพที่กรุงเทพ คุณนพก็ถามกับพ่อตาว่าเพราะอะไรถึงต้องให้มาอยู่ด้วย แต่พ่อตาก็ไม่ได้บอกอะไร  

วันรุ่งขึ้นคุณนพขับรถไปรับ ฝน ที่ จ.อุทัยธานี พอไปถึงบ้านพ่อตา คุณนพก็เห็นสภาพของ ฝน เป็นคนละคนกับที่เคยเห็นเมื่อก่อนคือ ผอม โทรม

พอกลับมาถึงห้องเช่าที่หนองจอก กรุงเทพ ฝนก็มีท่าทางแปลกๆ คือชอบกรีดร้อง ขว้างปาข้าวของ ทำให้คนรอบข้างเริ่มเกิดความหวาดกลัว สงสัยว่าฝนเป็นอะไร คุณนพและเมีย ก็ต้องคอยห้ามปรามว่า อย่าทำอย่างนี้มันไม่ดี และถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเองวะ แต่ฝนก็ไม่พูด ไม่ตอบอะไร 

อยู่มาวันหนึ่ง เมียของคุณนพและลูกชายจะต้องออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ากับพี่ชาย คุณนพก็ไล่ฝนให้ไปซื้อของกับเมียด้วย จะได้ไปเจอผู้คนบ้าง จึงเหลือคุณนพและลูกสาวที่อยู่ห้องพัก

ตอนนั้นช่วงเย็น ๆ แล้ว และในขณะที่อยู่ห้องพัก คุณนพก็ได้เปิดประตูหน้าห้องและหลังห้องแต่จะปิดมุงลวดไว้ เพื่อให้ลมมันผ่านเข้ามา ห้องของคุณนพจะเป็นห้องเช่ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ และใช้ตู้เสื้อไม้ 2 ตู้ มากันตรงกลางเพื่อทำเป็นห้องให้กับ ฝน 

ขณะที่คุณนพกางมุ้งอยู่ตรงห้องซึ่งเป็นพื้นที่ใหญ่ คุณนพเล่นกับลูกสาวอยู่สักพักนึง อยู่ๆลูกสาวก็นั่งนิ่ง มองไปที่ด้านหลังของคุณนพ แล้วก็แหกปากร้องไห้ ซึ่งคุณนพได้ยินเสียงแปลก ๆ “กอป แก็บ ๆ” เสียงเหมือนคนกำลังกินอะไรอยู่ ดังมาจากข้าง ๆ ไหล่ขวาของตน  

คุณนพจึงแหงะมองไปทางขวา เพื่อจะดูว่ามันเป็นเสียงอะไร ปรากฏว่า มันเป็นหน้าของผู้หญิงแก่กำลังดันมุ้งเข้ามาที่ไหล่ของคุณนพ  ลิ้นมันกำลังเลียมุ้ง พร้อมกับทำเสียง “พ่อบ แพ่บ” คุณนพเห็นอย่างนั้นนก็ตกใจศอกกลับไปทีนึงเต็มแรง แล้วรีบอุ้มลูกวิ่งออกไปนอกบ้านทันที

คุณนพอุ้มลูกยืนตัวสั่นอยู่นอกบ้าน พร้อมกับมองกลับเข้าไปในบ้าน แต่ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว คุณนพได้แต่อุ้มลูกเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านนานหลายนาที จนเมียกลับมาจากซื้อของ เห็นคุณนพยืนอยู่หน้าบ้านก็ถามว่ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณนพยังไม่เล่าเรื่องที่เจอให้เมียฟัง บอกเพียงแต่ว่าออกมารับลม แล้วก็พากันเข้าบ้าน 

เมียของคุณนพได้ซื้อพวกเนื้อหมูเนื้อไก่มาทำกับข้าวพรุ่งนี้เช้า แต่เนื่องจากว่าตู้เย็นมันเต็ม จึงนำไปใส่ไว้ในลังโฟมที่มีน้ำแข็งอยู่แทน พอทำอะไรเสร็จสรรพทุกคนก็แยกย้ายกันไปนอน ฝน ก็ไปนอนห้องของตัวเอง แต่คุณนพนั้นนอนไม่หลับ นั่งครุ่นคิดเรื่องที่เจอเมื่อกลางวัน เมียก็ถามว่าทำไมไม่นอน คุณนพจึงบอกว่า ไม่มีอะไรหรอก นอนกันไปเถอะ ยังไม่ง่วงเฉยๆ 

ระหว่างที่คุณนพนอนอยู่ ก็ได้ยินเสียงของ ฝน พูดอะไรสักอย่าง เป็นเสียงสั่น ๆ เบา ๆ พร้อมกับกัดไปด้วย ซึ่งเป็นแบบนี้ตลอดตั้งแต่วันที่มาถึงวันแรก 

ช่วงเช้าพอเมียของคุณนพตื่นขึ้นมา ก็ยังเห็นคุณนพนั่งอยู่ท่าเดิม จึงเข้ามาถามว่าเป็นอะไร แต่คุณนพก็ไม่ได้บอกอะไร เมียจึงไปทำกับข้าว แล้วอยู่ๆเสียงตกใจของเมียก็ดังขึ้นมาจากในครัว

“หมูไก่มันเป็นอะไรเนี่ย”

เมียหยิบถุงเนื้อหมูเนื้อไก่ขึ้นมาจากกล่องโฟม สภาพเนื้อมันเขียวปี๋หมดเลย แถมยังมีกลิ่นเน่าเหม็นด้วย เหมือนกับว่ามันค้างมาหลายวันแล้ว ซึ่งหมูที่ซื้อมาใหม่ๆ ปกติน่าจะอยู่ได้ 4-5 วัน สุดท้ายต้องนำไปทิ้งทั้งหมด 

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้คุณนพไปปรึกษากับเมียว่า วันอาทิตย์นี้เราจะไปที่วัดวัดนึงแถวลาดกระบัง เพราะเขามีการสวดภาณยักษ์ เราควรพา ฝน ไปที่วัดนี้ด้วย เพื่อปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไปบ้าง 

พอถึงวันอาทิตย์ทั้งหมดก็ได้ขึ้นรถของพี่ชายไปที่วัดกัน แต่ ฝน พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะไม่ไปด้วย ทุกคนจึงช่วยกันจับ ฝน ขึ้นรถ พอมาถึงวัด ฝน ก็กรีดร้อง พยายามขัดขืนเพื่อจะไม่เข้าไปในบริเวณที่เขาสวดภาณยักษ์กัน  ในพิธีสวดภาณยักษ์นั้น จะมีสายสิญจน์ล้อมอยู่เต็มบริเวณ ทุกคนก็พยายามจับตัว ฝนเข้าไปในลานพิธีจนสำเร็จ 

พอเข้ามาในลานพิธีได้ ฝน จะนั่งอยู่ด้านหลังคุณนพ พอพระสวดเริ่มพิธี เสียงของการสวดภาณยักษ์ ดังโหยหวนไปรอบบริเวณ ฝน ที่นั่งอยู่ด้านหลังคุณนพ เริ่มตัวสั่น  พวกลูกศิษย์และครูบาที่ยืนดูอยู่รอบๆ ก็เฝ้ามองว่าใครที่มีปฏิกิริยาที่แปลกๆไป สักพักเท้าของ ฝน ก็ยันมาที่หลังของคุณนพ มันทำให้ตัวของคุณนพนั้นสั่นไปด้วย 

พอลูกศิษย์ที่ยืนดูอยู่รอบๆเห็นคุณนพมีอาการสั่น ก็เอาไม้จุ่มน้ำมนต์มาตีหัวคุณนพทันที คุณนพก็มองหน้าลูกศิษย์ ตาแข็ง ลูกศิษย์ก็บอกว่า ออกไป! คุณนพก็บอกว่า เอ้ย! มึงมาตีอะไรกูเนี่ย เอาซะกูเปียกเลยนะ ไปดูข้างหลังกูนู้น ลูกศิษย์เห็นหน้าคุณนพขึงขังเหมือนจะสู้ แต่พอลูกศิษย์เดินไปดูข้างหลัง ก็เห็น ฝน  กำลังกรีดร้องดิ้นอยู่กับพื้น พอเห็นอย่างนั้น ทั้งพระและครูบา ก็มาล้อมที่ ฝน และสวดกันยกใหญ่ สวดได้สักพัก ฝน ก็นิ่งจนสลบไปจนพิธีจบเรียบร้อยเลย 

พอ ฝน ฟื้นขึ้นมา พระก็นำสายสินมาคล้องคอให้ ทุกคนถาม ฝน ว่าเป็นอะไร แต่ ฝน ก็บอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย จากนั้นก็พากันกลับห้อง พอกลับถึงห้อง ฝน ก็นอนสลบไปเลย 

พอถึงวันจันทร์คุณนพกับเมียก็ต้องออกไปทำงานกัน ส่วนลูกสาวลูกชายก็ฝากให้ทางพี่สะใภ้ที่อยู่ห้องติดกันเลี้ยง พอตอนเย็นหลังเลิกงานคุณนพกลับมาอยู่ห้องกับลูก ๆ เหมือนเดิม ส่วนแฟนของคุณนพนั้นทำโอถึง 5 ทุ่ม

คุณนพเดินเข้ามาในบ้าน ตอนนั้นยังไม่ได้กางมุ้ง กะว่าซัก 2-3 ทุ่ม ถึงค่อยกาง ลูกสาวและลูกชายของคุณนพก็ได้นอนหลับอยู่ข้างคุณนพ ส่วนคุณนพก็นอนเล่นอะไรไปเรื่อย จนเคลิ้มหลับไป มาสะดุ้งตื่นขึ้นอีกที ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นขยับไม่ได้ พอคุณนพลืมตาขึ้นเท่านั้นแหละ ความสยดสยองมันก็เริ่มขึ้น เมื่อมีผู้หญิงแก่ ผมฟู มายืนเอานิ้วเท้าจิกอยู่ที่หน้าอกคุณนพ ตอนนั้นคุณนพรู้สึกว่ามันจุกไปหมด  เหมือนกับว่าหน้าอกตัวเองกำลังจะยุบลงไป 

คุณนพตาค้างมองไปที่หญิงแก่ หญิงแก่ก็ชี้หน้าคุณนพแล้วพูดว่า มึงจะเอายังไงกับกูหรอ ด้วยความกลัว ทำให้คุณนพหมดสติไปเลย จนเที่ยงคืนเมียกลับมาจากเลิกงาน เห็นคุณนพนอนอยู่จึงมาเขย่าตัวปลุก คุณนพก็สะดุ้งตื่นขึ้น แล้วพูดด้วยความตกใจว่า ใครวะเนี่ย! เมียของคุณนกก็ตกใจ “อะไร ๆ”  

คุณนพคิดว่าเมียตัวเองเป็นหญิงแก่ตนนั้น จึงตะโกนโวกเวกโวยวาย เสียงดัง ทำให้ลูกๆที่นอนอยู่นั้นตื่นขึ้นมากันหมด พอคุณนพเห็นหน้าเมีย ก็คิดว่าตัวเองฝันไปหรอนี่ จึงเล่าเรื่องที่เจอให้เมียฟัง ว่าฝันแบบนี้แบบนั้น แต่พอคุณนพสังเกตที่หน้าอกของตัวเอง เห็นว่ายังมีรอยนิ้วโป้งเท้าแดง ๆ กดลงไปที่หน้าอก พอเมียเห็นก็ตกใจ แต่คุณนพก็บอกว่าคงไม่มีอะไรหรอกแค่ฝันไป หลังจากนั้นก็กางมุ้งนอนกัน

คุณนพพยายามข่มตาให้หลับ ในหัวก็คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยู่บ้านหลังนี้มาก็ตั้งหลายปี ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จน ฝน มาอยู่ด้วย 

รุ่งเช้าคุณนพก็ออกไปทำงานขับรถปกติ เลิกงานแล้วก็ไปรับลูก ๆ แล้วกลับมาห้องเหมือนเช่นเคย มาถึงห้องก็จัดการกางมุ้งนอน หาหมอนมากันตามขอบมุงจนเสร็จสรรพ แล้วก็นอนเล่นกับลูก ๆ ในมุ้งปกติเหมือนทุกวัน

แต่วันนี้ มันมีเสียงคราง เอื้อ อ่า เอ่ออ เอื้อ..อ่า ดังมาจากฝั่งที่นอนฝน แล้วอยู่ ๆ ลูกชายของคุณนพ ก็ถึงถอยห่างออกจากตู้ที่กั้นระหว่างห้อง ฝน จนหลังไปพิงฝาผนังบ้านทันที เพราะเห็น ฝน คลานสี่ขาออกมาจากมุมมืด แล้วก็แลบลิ้น พร้อมทำเสียงเหมือนกำลังกินอะไรอยู่ จ่อบ แจ่บ ๆ พอคุณนพเห็นเท่านั้นแหละ รีบออกจากมุ้งไปเอาพระที่ปู่ได้ให้ไว้บนหิ้ง มากำไว้ในมือ พร้อมกับกอดลูกๆ 

ฝนยังคงค่อย ๆ คลานเข้ามาหาคุณนพ  ตอนนั้นคุณนพรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว จึงลุกขึ้นถีบ ฝน ทันที แล้วขึ้นคร่อมตัว เอาพระที่กำอยู่ในมือคล้องคอ เมื่อฝนโดนพระคล้องคอ ก็ดิ้นพร้อมกับกรีดร้องเสียงดังลั่นห้อง จนพี่ชายของคุณนพที่อยู่ห้องข้าง ๆ ตกใจตื่น รีบวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น 

“มันเกิดอะไรขึ้นวะไอ้นพ” พี่ชายคุณนพถาม 

ฝน ดิ้นอยู่สักพักหนึ่งจนสลบไป คุณนพจึงลากฝนไปนอนที่ที่นอนของฝน พอเมียของคุณนพกลับมาถึงห้อง คุณนพก็บอกกับเมียว่า มันไม่ไหวแล้ว แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว พรุ่งนี้เช้าเธอไม่ต้องไปทำงาน ให้เค้นถามฝน ว่าทำไมกลับจากตากมาอยู่บ้านที่อุทัย แล้วทำไมพ่อถึงให้มาอยู่ด้วยที่นี่ ถามมันว่าไปโดนอะไรมา หรือไปทำอะไรมาหรือเปล่า 

พอช่วงเช้า ฝนก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือ ที่คอยังคงคล้องพระอยู่ แล้วลุกขึ้นไปหาข้าวหาน้ำกินปกติ คุณนพก็ลุกออกไปนั่งที่แค่หน้าบ้าน แล้วเรียกฝนเข้ามาคุย 

“ฝน มึงมานี่ซิ เมื่อคืนนี้มึงทำอะไร” 

“ทำอะไร หนูไม่ได้ทำอะไรเลย พี่มาว่าอะไรหนู”

“ก็มึงคลานสี่ขามาหากู ทำท่าเหมือนจะกินกู เขาเห็นกันทั่วบ้านทั่วเมืองหมด จำไม่ได้หรอ” 

“หนูไม่รู้” ฝนพูดด้วยความงง 

คุณนพก็ถามฝนต่อว่า “ เอาจริงๆนะ ที่เอ็งไปทำงานที่ตากอ่ะ เอ็งไปทำอะไรมา แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสภาพเอ็งถึงเป็นแบบนี้ ลูกหลานที่อยู่ตรงนี้ เขากลัวเอ็งกันหมดแล้ว” 

ฝนมองไปที่น้องเบลลูกสาวของคุณนพ ก็ร้องไห้ และเล่าให้ฟังว่า

“ตอนที่ไปทำงานที่ตาก หนูไปหลงรักผู้ชายคนนึง ด้วยความที่อยากจะให้ตัวเองอยู่ในสายตาผู้ชายคนนั้นบ้าง เลยไปหาครูบา ครูบาก็ได้ให้ว่านชนิดนึงมา แล้วบอกให้พกติดตัวไว้ แล้วมึงจะมีค่าในสายตาเขา” แล้ว ฝน ก็เอาว่านนั้นออกมาจากใต้หมอนให้คุณนพดู ปรากฏว่ามันเป็นว่านสีเขียวอมเหลืองอยู่ในหลอดแก้วเล็กๆ ยาวประมาณ 1 นิ้ว

คุณนพก็ถาม ฝน ว่า  “มันคือว่านอะไร มึงรู้ไหมว่าตอนนี้สภาพมึงมันไม่เหมือนปอบมากกว่าคน”

แล้วคุณนพก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฝนฟัง ฝนเอาแต่นั่งร้องไห้หนักกว่าเดิม รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไป จนมันตามติดตัวมาด้วย คุณนพก็บอกว่า มึงจะคิดยังไงก็แล้วแต่มึง แต่กูจะเอาว่านอันนี้ไปทิ้ง  

คุณนพได้นำว่านไปปรึกษากับพระที่วัดจังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะพระที่วัดนี้เคยทักคุณนพว่า เห็นไฟลุกบนหัวคุณนพ พอมาถึงวัด พระก็บอกว่า มันก็เป็นแค่ว่านธรรมดานั่นแหละ ถ้าโยมคิดว่ามันเป็นปอบ มันก็จะเป็นปอบ ถ้าจะให้โยมสบายใจ โยมก็เอาว่านอันนี้ ไปลอยน้ำซะ คุณนพจึงนำว่านอันนี้ไปใส่โหลให้มันใหญ่ขึ้น แล้วก็นำไปลอยน้ำที่หน้าวัดของหลวงพ่อโสธร 

หลังจากที่ได้นำว่านนั้นไปลอยอังคารแล้ว แต่คุณนพก็ยังรู้สึกหวาดระแวงในตัว ฝน เลยยังให้ ฝน คล้องพระไว้ที่คออยู่ จนอาการของ ฝน เริ่มดีขึ้นดีแล้ว คุณนพจึงขอขอพระคืน หลังจากที่คุณนพขอพระคืนแล้ว ฝน ก็ได้ย้ายออกจากห้องคุณนพแล้วไปหางานทำที่อื่น 

หลายปีผ่านไป คุณนพก็ไม่ได้ติดต่อกับฝนอีกเลย มารู้อีกทีว่าฝนได้กลับไปอยู่ที่อุทัยแล้ว และได้ข่าวว่า ฝน ป่วย มีสภาพผอมซูบ จนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจใส่จมูกตลอดเวลา 

ตอนนั้นคุณนพได้ย้ายไปอยู่ที่ขอนแก่นแล้ว ทางบ้านก็โทรมาบอกอาการฝน คุณนพและเมียจึงได้กลับไปเยี่ยมฝนที่โรงพยาบาลอุทัย พอฝนเห็นว่าคุณนพมาเยี่ยม ก็ถึงกับน้ำตาไหล แต่ฝนไม่สามารถพูดได้ จึงเขียนข้อความใส่กระดาษว่า “หนูขอโทษ หนูขอโทษ”

คุณนกก็บอกว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้ว เอ็งรักษาตัวให้ดีนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะมารับเองไปอยู่ที่ขอนแก่นด้วย” ฝนก็ยังคงเขียนคำว่า “ขอโทษ หนูขอโทษ” แล้วคุณนพก็บอกว่า “งั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะ เพราะพวกพี่ลางานมาได้แค่ 2 วันเอง”

คุณนพเดินทางกลับมาถึงขอนแก่นประมาณเที่ยงคืน มาถึงก็แยกย้ายกันนอน ขณะที่คุณนพกำลังจะหลับ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหัวว่า “พี่นพ….พี่นพ….พี่นพ” ดังมาจากหน้าบ้าน มันเป็นเสียงของคนที่คุ้นเคย เสียงของ ฝน นั่นเอง

คุณนพลุกไปมองผ่านช่องหน้าต่างออกไปที่หน้าบ้าน สงสัยว่าใครเป็นคนเรียก ปรากฏว่าเห็น ฝน ยืนอยู่หน้าบ้าน แล้วเสียงโทรศัพท์จากในบ้านก็ดังขึ้น 

พอเมียของคุณนพรับสาย ก็ร้องไห้โห่ออกมาทันที “นพ….. ฝนมันตายแล้ว ฝนมันตายแล้ว” คุณนพก็หันไปบอกเมียว่า “ เธอไม่ต้องบอก ฉันรู้แล้วว่ามันตาย”

ไสยศาสตร์ คุณไสย มนดำ ของต่ำพวกนี้ ไม่มีทางได้มาฟรี ๆ แรก ๆ มันอาจจะทำให้เราสมหวัง แต่เชื่อเถอะ สิ่งที่ได้มากับไม่คุ้มหรอก กับสิ่งที่เราต้องแรกกลับไป เพราะสุดท้าย สิ่งนั้นมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเรา….เรื่องทั้งหมดก็จบเพียงเท่านี้ 

ถอดความจากเดอะช็อค คุณนพ

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here