แม่…พ่อมาหาค่ะ

แม่...พ่อมาหาค่ะ
แม่...พ่อมาหาค่ะ

เรื่องจากสมาชิกพันทิปท่านหนึ่ง เล่าถึงเรื่องของครอบครัวตัวเองที่ไม่ได้มีความสุขเหมือนในนิยาย จนต้องหนีออกมาจากสามีเธอ แต่มันใช่ว่าเธอจะหลุดพ้น

สวัสดีค่ะเราชื่อฟ้า(นามสมมุติ)นะคะ ตอนนี้เราเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกสาวชื่อน้องสกาย อายุ 7 ขวบ  เราสองคนอาศัยอยูคอนโดแถวชานเมืองค่ะ เราสองคนแม่ลูก อยู่ด้วยกันแบบนี้มาได้ปีกว่าๆ แล้วหลังจากที่แม่เราเสีย และเราก็เพิ่งเลิกลากับสามีไป ด้วยเหตุผลคลาสสิคเลยค่ะ นั่นคือ มันมีกิ๊ก เป็นน้องที่ทำงานเค้าแอบคบกันมานานเท่าไหร่เราไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่าเค้าทำงานด้วยกันมาเกือบสองปีแล้ว

เรากับสามีคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ว่าจะเรื่องเมา เรื่องตบตีเราซึ่งบ่อยมาก เรื่องใช้เงินฟุ่มเฟื่อย เราก็ยังไม่เคยเลิกกัน แต่ถ้าเรื่องนอกใจนี่มันไม่ไหวจริงๆ 

เขาใช้ความรุนแรงกับเรามากขึ้น เวลาที่จะเอาเงินจากเรา หลังๆ เริ่มทำต่อหน้าลูกด้วย เราไม่อยากให้ลูกต้องโตมาในสภาพแบบนี้ บวกกับเรื่องที่เค้ามีคนใหม่อย่างออกหน้าออกตา

เราทนไม่ได้จริงๆเรามองหน้าลูกสาวที่รักสุดหัวใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ในฐานะลูกผู้หญิงคนหนึ่งบอกเลิกกับสามีอย่างเด็ดขาด ไม่เอาแล้วความรักที่เหนื่อยเหลือเกิน ผลที่ได้เขาก็ยอมค่ะเพราะเขาเองก็ไม่ได้รักเราอยู่แล้วแต่!! มีข้อแม้ว่าเขาต้องได้รถที่เขาใช้อยู่  กับเงินประกันที่แม่เราทำไว้ก่อนตายที่ค่อนข้างเยอะมากต้องแบ่งให้เขาครึ่งนึง เรายอมให้รถค่ะ แต่เงินของแม่เราเราไม่ให้เด็ดขาด เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้จดทะเบียนสมรส ของของเราเค้าไม่มีสิทธิ์ 

เค้าโมโหมากที่ไม่ได้ตามต้องการ ต่อว่าเราต่างๆ นาๆ เพราะเราอาศัยอยู่บ้านเค้า ซึ่งเป็นบ้านที่เราผ่อนแต่เป็นชื่อเค้าตอนกู้ซื้อ วันนั้นเราโดนซ้อมแบบคอมโบ้เซ็ตเลยค่ะ หน้าเราแทบไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่บวม ทั้งช้ำ ทั้งปูดจนตาแทบปิด มันหนักมากกว่าทุกครั้งที่เคยโดนมา

พอเขาซ้อมเราเสร็จเค้าก็ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนเขาต่อ และเราเดาว่าคืนนี้ก็คงจะไม่กลับ  เราหอบร่างกายสะบักสะบอมไปปลุกลูกที่กำลังหลับ พร้อมกับเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น กับเอกสารส่วนตัว ด้วยกระเป๋าแค่สองใบ เราจะหนีค่ะ เราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว

เราเซ็งร้านเสื้อผ้าที่เราเปิดมานานตั้งแต่เราเริ่มท้องและลาออกจากงาน ร้านนี้เรียกว่าทำให้เราลืมตาอ้าปากได้เลยก็ว่าได้ แต่ก็ต้องยอมตัดใจเซ้ง จนได้เงินมาก่อนก้อนหนึ่ง บวกกับเงินประกันของแม่ที่เราจะสามารถ ซื้อเวลาในการตั้งตัวใหม่ได้ไม่ลำบากเราคิดไว้อย่างนั้น 

เราทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนให้ลูกเรียบร้อยแล้ว โดยที่สามีเราไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน  เราเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ กลัวว่าถ้าสามีเราเขากลับมาเจอตอนเราหนีจะเป็นอย่างไร 

มองไปตามข้างทางที่มีแสงไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน เห็นไฟรถยนต์คันไหนสาดไฟมา ก็ต้องรีบหลบเข้าข้างทางตรงถังขยะใบใหญ่บ้าง เสาไฟฟ้าบ้าง ร่างกายที่เจ็บปวดไปด้วยรอยช้ำที่เกิดจากหมัดบ้าง เท้าบ้าง  เวลาขยับตัวทีเล่นเอาตัวสั่นเทาไปทั้งตัวเลยค่ะ ตอนนั้นเรากลัวมากๆ ถ้าไม่เห็นสัญลักษณ์ป้ายแท็กซี่ เราไม่ไว้ใจเด็ดขาดกลัวเป็นรถสามีเราค่ะ 

เราเดินมาได้สักพักก็ถึงถนนใหญ่ รอไม่ถึงสิบนาทีก็มีแท็กซี่ผ่านมา เราโบกรถด้วยความดีใจ พอพาลูกขึ้นแท็กซี่ได้เราก็รีบบอกที่หมายให้พี่แท็กซี่ขับไปโดยเร็วเลยค่ะ 

รถเคลื่อนผ่านไป  เราไม่หันหลังกลับไปมองซอยที่เราเพิ่งเดินออกมาเลยค่ะ ได้แต่คิดในใจว่าต่อไปนี้เรากับลูกจะต้องมีชีวิตใหม่ที่มีความสุขให้ได้ จบสิ้นกันทีชีวิตคู่ที่เคยอยากมีมาตลอดของสาวช่างฝัน ชีวิตจริงไม่เหมือนในนิยาย และเจ้าชายในฝันก็เช่นกัน

เราได้เอาเงินมาซื้อคอนโดห้องเล็กๆ ด้วยเงินสด เพราะเราไม่มั่นใจในรายได้ต่อเดือน ในอนาคตข้างหน้า และไม่อยากเสียดอกเบี้ย  ที่ตั้งคอนโดอยูใกล้กับโรงเรียนใหม่ของลูก เราสามารถไปรับไปส่งลูกเราได้โดยใช้การเดิน เพราะเราไม่มีรถใช้ ถ้าจะซื้อก็ดูจะยังไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ และเรื่องงานนั้นเราเปลี่ยนจากขายเสื้อผ้าหน้าร้านเป็นขายออนไลน์ และไลฟ์สดขายของทุกวัน

เราไม่ได้ข่าวสามีเก่าเราเลยเพราะเราบล็อคการติดต่อทุกอย่าง เรากลัวว่าเค้าจะยังโกรธเราอยู่  เรากลัวว่าเค้าจะมาทำร้ายเราอีก เราอยากมีชีวิตใหม่โดยไม่มีเค้า จนเดือนหนึงมีเบอร์โทรแปลกๆ โทรมาหาเรา ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าใคร 

“สามีเก่าเราเองค่ะ” เขาถามเราว่า “เราสบายดีใหม เป็นอย่างไรบ้างเขาคิดเรา คิดถึงลูก”  เราไม่ตอบและรีบตัดสายทิ้ง และก็บล็อคเบอร์เลย เราหวั่นใจเหมือนกัน กลัวตัวเองจะใจอ่อนถ้ากลับไปคืนดี สักวันก็ต้องเหมือนเดิมอีก  

เช้าวันต่อมาหลังจากไปส่งลูกไปโรงเรียนเราก็เอาของที่ขายส่งไปรษณีย์แถวๆ โรงเรียนลูก ระหว่างที่นั่งรอไปรษณีย์เปิด เพราะมาส่งลูกเช้ามาก เราเห็นพระท่านกำลังเดินมาบิณฑบาตร  เราก็กะว่าจะใส่บาตรเป็นปัจจัยสักร้อยหนึง เพื่อเป็นการทำบุญสักหน่อย

เรายืนรออยู่ริมทางเท้าหน้าไปรษณีย์กะว่าถ้าท่านเดินใกล้ๆมาถึงจะได้นิมนต์  เราสบตากับท่านพอดีสักท่านทำหน้าเหมือนตกใจเล็กน้อยทำตาเลิกลั่ก แล้วท่านก็หยุดเดินสักครู่ก่อนจะเปลี่ยนเลนไปฝั่งตรงข้าม  แล้วเดินผ่านเราไปอย่างไวทั้งสองรูป เราก็ได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถนนก็ไม่ได้กว้างถึงขนาดที่พระท่านจะมองไม่เห็นเรา แต่เราเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายแล้วก็หันกลับมายืนรอไปรษณีย์เปิดตามเดิม

พอเข้าไปทำธุระที่ไปรษณีย์ พี่พนักงานทีสนิทกันเพราะคุยเล่นกันบ่อยเวลามาส่งของ พี่เค้าก็เดินสวนเข้ามา แล้วหยุดคุยตามปกติ อยู่ๆ แกก็พูดขึ้นมา  

“น้องฟ้า พี่ว่าวันนี้น้องฟ้าไปทำอะไรมารึป่าวจ๊ะ” 

เราก็งงเลยถามออกไปว่า “ป่าวนี่คะพี่หนูมีอะไรผิดปกติหรอ” 

“คืออย่าหาว่าพี่อย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ เราก็สนิทกันอะนะ

พี่ว่าวันนี้น้องฟ้ากลิ่นตัวแรงมากเลย เลยอยากเตือนจะ”

เราก็ตกใจนะแล้วก็หันมาดมตามตัว แต่ให้ตายเถอะ เราพยายามสำรวจตัวเองเต็มที่แล้ว  แต่เราไม่ได้กลิ่นอะไรเลย จึงหันไปบอกพี่แกว่า สงสัยกลิ่นเหงื่อน่ะพี่ เดี๋ยวหนูกลับบ้านไปอาบน้ำอีกรอบดีกว่าค่อยไปเอาผ้าที่ประตูน้ำ”  แล้วเราก็รีบกลับ พลางก็คิดในใจเหม็นอะไรว่ะ ไม่เห็นจะได้กลิ่นเลย 

ตกตอนเย็นเราก็ไปรับน้องสกายกลับบ้าน น้องสกายวิ่งมาหาเราหลังจากครูเปิดประตู ขณะที่วิ่งมาจู่น้องก็เบรคตัวเองจนเกือบล้ม ก่อนจะถลามากอดเรา แล้วก็บอกเราว่า “แม่…พ่อมา” ก่อนจะชี้ไปทางข้างหลังเรา เราหันมองตามแต่ก็ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น นอกจากกำแพงว่างเปล่ากับผูปกครองเด็กคนอื่นอีกสามสี่คน ที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด  เราเลยหันมาบอกลูกว่าสงสัยหนูจะตาฝาดน่ะ น้องเลยบอกเราอีกว่า “แม่…หนูคิดถึงพ่อ”

เราจุกนี่ไปทั้งอกเลยค่ะ มันแน่นอยู่ในใจ นี่เราทำอะไรลงไป เรามองแต่มุมของเราที่ไม่อยากจะให้ลูกเห็นภาพพ่อแม่ ทะเลาะกัน จนลืมความรู้ลึกของลูกไปเลย อย่างไรเสียสามีของเราเค้าก็เป็นคุณพ่อที่น่ารักกับลูกสาวเสมอ ไม่เคยดุ ไม่เคยว่า เค้าก็ย่อมรักและผูกพันธ์กันด้วยสายใยพ่อลูกเป็นธรรมดา  

เราได้แต่กอดปลอบใจน้องสกาย แล้วบอกว่าเดี๋ยวถ้าวันไหนคุณพ่อว่าง เดี๋ยวเรานัดคุณพ่อมากินข้าวกันเนาะ น้องสกาย ดีใจใหญ่  จูงมือเราเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ผิดจากเราโดยสิ้นเชิง ที่ความคิดผสมปนเปกันไปหมด ใจหนึ่งก็คิดว่าเค้าน่าจะดีขึ้นแล้วคงคิดถึงเราจริงๆ เลยหาทางติดต่อเรามาเมื่อคืน แต่อีกใจมันก็กลัวเราอยู่อย่างนี้มาได้เป็นเดือนแล้ว จะกลับไปให้เค้าเหยียบย่ำน้ำใจอีกหรือ 

เราคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดแม้ว่าจะตอนทำงานยุ่งๆ หรือตอนนั่งพักเฉยๆ  จนคืนนั้นเราก็นอนหลับไปหลังจากไลฟ์สดขายของได้ไม่นาน 

คืนนั้นเราฝันเห็นสามีค่ะ ในฝันเหมือนเรากำลังตากผ้าอยู่ที่ระเบียงคอนโด แล้วเค้ายืนอยู่ข้างล่างแล้วมองขึ้นมา แต่เหมือนไม่ไกลกันมาก เค้ามองเราด้วยสายตาเศร้า แล้วเขาก็ตะโกนถาม 

“ฟ้ากลับบ้านเถอะ พี่คิดถึงฟ้า พี่คิดถึงลูก กลับบ้านเราเถอะนะ แล้วเค้าก็ร้องไห้โฮเลยค่ะ ” 

เราเองก็เหมือนตะโกนกลับไปว่า  “ฟ้าไม่กลับ ไม่ต้องตามมาแล้วจบกันตรงนี้ดีกว่า ถ้าวันหนึ่งต่างคนต่างทำใจได้อย่างน้อยเราก็ยังไปมาหาสู่กันได้ในฐานะ พ่อและแม่ ของลูกนะพี่”

ในความฝันในสามีของเราก็ก้มหน้าร้องไห้แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่ดุดัน “กุบอกให้กลับ. กุสั่งให้กลับเดี๋ยวนี้”  เราสะดุ้งตัวขึ้นจากความฝันทันที เหงื่อท่วมตัวไปหมด ใจเต้นระทึกทั้งกลัวทั้งตกใจ คิดว่านี่ตัวเองคิดมากเรื่องสามีจนเอาไปฝันหรือนี่  แต่แหมขนาดอยู่ในฝันของเราก็ยังไม่ทิ้งสันดานเดิมจริงๆ เรามองนาฬิกาเป็นเวลาตีสาม เลยล้มตัวลงนอนอีกรอบเพราะฟ้ายังไม่สางเลย แถมพรุ่งนี้เป็นวันหยุดน้องสกาย เลยไม่ต้องตื่นเช้ามาก 

พอตอนเช้าเราก็มาเตรียมอาหารเช้ากะว่าอาบน้ำแต่งตัว กินอะไรเรียบร้อย เราจะพาน้องสกายไปเดินเที่ยวห้างและไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับแม่เราที่เพิ่งเสียไปก่อนหน้านี้สักหน่อย. น้องสกายงัวเงียตื่นพร้อมกับรีบเดินมาถามเราว่า “พ่อหละแม่”  เราเลยถามว่า “พ่ออะไรแม่..งง” น้องบอกว่า “พ่อมาหาบอกว่ามารับกลับบ้าน” 

เราก็แอ๊ะ!!!ชักจะยังไงแล้วนะถามน้องกลับว่า “น้องสกายฝันหรือเปล่าลูก ” น้องก็บอกว่าพ่อมาจริงๆ แล้วก็งอแงจะหาพ่อถ้าเดียว

เราก็แอบวิตกกังวลเล็กๆขึ้นมาเหมือนกันคิดไปว่าหรือสามีเราจะเป็นอะไรรึป่าว เลยตัดสินใจว่างั้นเปลี่ยนโปรมแกรมวันนี้กลับไปดูที่บ้านเก่าดีกว่า เลยชวนเพื่อนเราที่เป็นสาวสองไปเป็นเพื่อนด้วยเผื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็ยังพอช่วยเหลือกันได้

พอสายๆ ทำอะไรเนียบร้อยก็เลยพวกเราก็นั่งแท็กซี่ไปบ้านเก่า รถเลี้ยวเข้าซอยมายังไม่ทันจะถึงจุดหมายก็เห็นคนมามุงอยู่เต็มหน้าบ้าน แล้วก็มีรถมูลนิธิแล่นมาพร้อมเสียงวี่ห่วอ วี่หว่อ มาแต่ไกล เราใจเต้นแรงขึ้นมาทันที มือไม้นี่สั่นแบบไม่ทันตั้งตัว รีบบอกให้เพื่อนอยู่กับลูกเราก่อนยังไม่ต้องเดินเข้าไป 

ในขณะที่เรากำลังเดินผ่าไทยมุงทั้งหลาย  เดินไปที่ประตูที่เจ้าหน้าที่กำลังงัดประตูบ้านอยู่ ได้ยินเสียงผู้คนอื้ออึงกำลังวิจารณ์ สถานะการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยโชยออกมาจนน่าคลื่นใส้ กลิ่นแรงมากจนต้องเอามือปิดจมูกไว้เลย  ใจเราก็พอจะเริ่มเดาได้แล้วหละว่าข้างในจะมีอะไร เราบอกเจ้าหน้าทีว่าไม่ต้องงัดหรอกค่ะ เรามีกุญแจ จากนั้นก็ไขกุญแจด้วยมือที่สั่นระริกจนแทบจะไม่เข้ารู พอเปิดประตูได้ เราก็กริ๊ดลั่นเลยค่ะ เข่าอ่อนลงไปพับกับพื้นเลย 

ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ศพของสามีของเราที่เน่าอืด บวมเป่ง และน้ำหนองไหลออกมาเป็นทาง หน้าตาบวมปูดจนผิดรูปเหมือนโดนกระหน่ำตีด้วยของแข็ง สภาพเหมือนตะเกียกตะกายจะมาโทรศัพท์เพราะมือยังเหยียดเหมือนจะหยิบมือถือที่อยู่ห่างออกไป แต่คงจะสิ้นใจก่อน  เรารีบตะโกนบอกเพื่อนว่าอย่าให้น้องสกายเข้ามานะ 

จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาควบคุมสถานที่เกิดเหตุ และสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง  และผู้พบเห็นสถานการณ์ก่อนหน้านี้ รวมทั้งเราและคนละแวกบ้าน เราอยู่ตรงนั้นก็เลยได้ยินคร่าวๆ จากที่ฟังเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เราหนีไป สามีเราก็ไปถามคนแถวนั้นเหมือนกันว่าเห็นเราออกไปตอนไหนมั๊ย 

แต่ก็ไม่มีใครอยากยุ่งเพราะเป็นเรื่องของผัวเมีย และบางคนก็สงสารเราด้วยที่เห็นเราโดนซ้อมบ่อยๆ 

สามีเราก็เลยตะโกนลั่นซอยเลยว่าอย่าให้รู้นะว่าใครช่วยเราหนี และยังบอกคนในซอยว่าเราหอบเงินเค้าหนีไป ณ ตรงนี้เราก็นึกขำอยู่ในใจเหมือนกัน เพราะนั่นมันเงินแม่รา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครต่อใครฟังหนิเราคิดอย่างนั้น 

จากนั้นอีกวันสามีเราก็พาผู้หญิงคนใหม่เข้าอยู่ในบ้านแทนที่เรา ก็คงจะเป็นกิ๊กที่ทำงานที่เค้าดูแลกันอยู่นั่นแหละค่ะ ชาวบ้านแถวนั้นเล่าว่าอยู่ได้อาทิตย์กว่าๆ ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันดังลั่นไปทั้งซอย เหมือนผู้หญิงจะด่าผู้ชายเรื่องเอารถไปขาย ผู้ชายก็เลยลงไม้ลงมือกับผู้หญิงคนใหม่ แทบจะวันเว้นวันเลย คือสามีเราเวลาเมาเค้าจะชอบหาเรื่องตบตีค่ะ กับเราก็ทำประจำ ชาวบ้านเค้าก็ไม่ได้สนใจอะไร 

จนอาทิตย์ก่อนก็ไม่ได้ยินเสียงอีกเลย และไม่เห็นเปิดไฟในบ้านเค้าก็เลยคิดว่าคงไม่อยู่บ้าน แต่พอหลายวันเข้าก็เริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา มันแรงมากเลยโทรไปตามกู้ภัยให้มาดู  แล้วเมียใหม่ก็ไม่ได้เห็นนานแล้ว บางคนบอกว่าก่อนหน้านี้มีคนมาทวงหนีสามีเราที่บ้าน เป็นผู้ชายประมาณสี่คนขับรถเก่งมาจอดหน้าบ้านตอนเย็น ประมาณหลังจากเราไปได้สองอาทิตย์ แล้วก็ได้ยินเสียง สามีเรากับเมียใหม่ทะเลาะกันดังมาก น่าจะมีการตบตีกันด้วย หลากหลายข้อมูลที่ตำรวจได้รับเราก็ได้แต่นั่งฟัง แล้วก็ติดต่อน้องสาวเค้าที่อยู่เชียงใหม่ให้ทราบถึงเรื่องพี่ชายเค้า

เราไม่กล้าโทรหาแม่สามีโดยตรงเพราะเค้าไม่ค่อยชอบเรา เราไปทำเรื่องรับศพของสามีหลังจากที่เจ้าหน้าที่นำศพไปชันสูตร และนำศพมาตั้งที่วัดเพื่อสวดอพิธรรม โดยมีน้องสาวของสามีมาช่วยจัดการทุกอย่าง พอได้นั่งคุยกัน เราก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดในส่วนของเราให้น้องสามีฟัง น้องสามีเองก็เข้าใจ

เพราะรู้ดีว่าพี่ชายตนเป็นคนอย่างไร  แต่น้องสามีบอกเราว่า แม่สามีนั้นอาจจะไม่ได้คิดแบบเธอ เพราะตอนที่สามีเราให้เมียใหม่มาอยู่บ้าน ได้โทรไปบอกแม่ว่า เราพาลูกหนีไป แถมหอบเงินของสามีหายไปด้วย แม่สามีค่อนข้างโกรธมากเพราะเค้าเชื่อที่ลูกเค้าพูดทุกคำ 

แล้วก็เป็นเรื่องจริงๆ พอแม่สามีมาถึงวัดก็ต่อว่าเรายกใหญ่แล้วก็ไล่เราไม่ให้เราไปเผาศพลูกเค้า เค้าว่าเราขโมยเงินลูกเค้า แปลกมั๊ยคะ แทนที่จะไปโกรธคนที่ทำร้ายลูกเค้าจนตาย เราได้แต่ปลงและไปจุดธูปไว้ศพ และขออโหสิกรรมก่อนจะออกมาจากงาน และต้องเดินหนีพร้อมเสียงด่าไล่หลังจากแม่สามี หึพอกันทีให้เราจบกันแค่นี้เถอะนะ สู่สุขติเถอะอะไรที่เราทำผิดต่อกันฉันขออโหสิไม่จองเวรต่อกัน

เราพาลูกมาไว้ศพอีกทีตอนวันที่จะเผา ซึ่งตอนนั้นเราก็พยายามอยู่ให้ห่างๆ ญาติพี่น้องของสามีที่มองเราเหมือนเป็นฆาตกรเลย  ถัดจากนั้นเราก็ฝันเห็นสามีบ่อยมากๆ บางทีก็มาขอโทษ บางทีก็มาด่า บางทีก็มายืนร้องไห้ บางทีก็มาบอกว่ารัก มาแต่ละทีก็สยดสยองมาก ทั้งแผลทั้งเลือด แต่ทุกครั้งคือมายืนอยู่ที่เดิม

เหมือนเค้าทำได้แค่นั้น เราไม่กล้าฟันธงว่าใช่ผีหรือป่าวเพราะทุกครั้งมันคือความฝัน

ฝันที่เหมือนจริงมากๆ เราไม่สบายใจเลย จึงให้เพื่อนพาเรากับลูกไปไหว้พระทำบุญ เพราะไม่ได้ไปตั้งแต่คราวที่แล้ว พอเดินออกมาจากวัด กำลังจะเข้าไปที่ลานจอด บังเอิญมันมี ที่ดูดวงอยู่ใกล้ๆกับป้อมยามตรงทางเข้า เป็นหมอดูอายุน่าจะประมาณ 50 อัพ นั่งมองเราตาเขม็ง จนเพื่อนเราหันมาบอกให้ดูว่าแกมองเราอยู่ ก็เลยคุยกันว่าแวะเข้าไปดูดวงสักหน่อยก็แล้วกัน พอเดินไปถึงยังไม่ทันจะได้พูดอะไร หมอดูคนดังกล่าว ก็พูดขึ้นมาเลยว่า “มีผู้ชายตามเราอยู่นะ” เราก็ตกใจมากรีบถามเลยว่าเค้ามีลักษณะอย่างไร ซึ่งหมอดูก็บอกได้ตรงตามลักษณะสามีเราทุกอย่าง จนเราขนลุกซู่ชันชันไปทั้งตัว อะไรกันทำไมไม่ไปตามคนที่ฆ่าตัวเอง ดันมาตามเราทำไม หมอดูก็บอกว่าไม่ต้องกลัวหรอกมันเป็นเพียงห่วงสุดท้ายของเขา เขาเพียงต้องการจะขอโทษ  แต่เขาทำอะไรเราไม่ได้แน่นอน เพื่อนเราเลยถามว่า “ทำไมละคะหมอ” หมอเลยบอกว่า “ภาพที่เห็นอยู่ขณะนี้ คือมีผู้หญิงค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งที่รูปร่างบางๆ และผมหยิกๆ สั้นๆ ยืนเอามือกำผมและกดหัวผู้ชายคนนั้นให้อยู่ในลักษณะนั่งคุกเข่าอยู่ตลอดเวลาด้วยท่าทางที่ดุดันมาก เหมือนปกป้องเราอยู่ตลอดเวลา”

เราได้ยินปั๊บก็น้ำตาไหลออกมาทันที โธ่แม่!!!  แม้ตายจากกันไปแล้วก็ยังห่วงยังปกป้องเราอยู่ตลอด

เพียงแต่เราไม่เคยสัมผัสได้เลย เราร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนเพื่อนบอกหมอว่าคงไม่ดูแล้ว หมอก็บอกว่าไม่เป็นไร หมอเพียงอยากช่วยสื่อสารให้ตามคำขอร้องของหญิงมีอายุคนนั้นเท่านั้น แล้วเพื่อนเราก็พาเรากลับทันที เราหมั่นไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ กับสามีเก่าเราอยู่เสมอ จนหลังๆ เราก็ไม่ค่อยฝันเห็นเค้าอีกแล้ว.  

ถัดจากงานศพมาได้เดือนกว่าๆ  น้องสามีเราก็มาเยียมหลาน และมาส่งข่าวเรื่องคดีของสามีให้เราฟังว่าตำรวจจับผู้หญิงคนนั้นได้แล้ว เธอยอมรับสารภาพว่าเป็นคนให้พี่ชายมาทำร้ายสามีเราเพราะโกรธเรื่องที่สามีเราทำกับเธอ เธอบอกว่าพอมาอยู่ด้วยกันเธอถึงเพิ่งรู้ว่าสามีเราไม่ได้มีเงินอย่างที่คิด แถมยังติดการพนันงอมแงม ถึงขั้นขายรถ ไปใช้หนี้ แล้วยังมาบังคับเอาเงินเก็บของเธอไปอีก เธอบอกว่าตอนแรกเธอก็รู้ว่าสามีเราเป็นหนี้พนันเยอะ ถึงขั้นมาวางแผนกันเธอว่าจะฆ่าแม่ยายเพื่อจะบังคับเอาเงินประกันกับเรา

แต่แม่เราดันจากไปก่อนเลยกะว่าจะเอาเงินจากเราไปใช้หนี้ แต่เราดันมาจับได้เรื่องมีชู้เราเลยหนีมา เงินที่หวังจะได้เลยชวดไป

พอพวกเจ้าหนี้มาตามเรื่อย สามีเราก็บังคับให้เธอไปนอนกับไอ้พวกที่มาทวงหนีแก้ขัดไปก่อน เธอทั้งเจ็บทั้งแค้นใจแถมยังมารู้ภายหลังว่าตัวเองติดเอดส์ สามีเราเลยจะถีบหัวส่ง เธอแค้นใจอย่างหนักเลยไปปรึกษากับพี่ชาย พี่ชายเธอโกรธมาก ทำร้ายสามีเราแบบไม่ยั้งจนตาย จากนั้นก็พาน้องสาวหนีไป จนมาถูกจับได้ตอนจะนั่งรถไฟลงใต้

เราได้ฟังก็สะเทือนใจเหมือนกันที่เธอต้องมาเจออะไรแบบนี้ ได้แต่คิดในใจว่าผลทั้งหมดเกิดจากการกระทำของตัวเองล้วนๆ กระทำกรรมดีสักวันต้องได้ดี กระทำกรรมชั่วผลที่ได้ก็คือความชั่วนั่นแหละไม่ว่าจะช้า จะเร็ว กรรมนั้นต้องตามทันอย่างแน่นอน คิดดี ทำดี มีสติในทุกการกระทำนะคะ

ผู้เขียน เพลินไดอารี่
ขอบคุณเรื่องหลอน ๆ จากพันทิป

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleยุติการเผยแพร่