สวัสดีค่ะ พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกๆท่าน เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์บางอย่าง ที่เราได้เจอมาเมื่อไม่นานนี้ ให้ฟังกันค่ะ
เหตุการณ์นี้มันเริ่มต้นขึ้นจากที่เราได้ย้ายมาประจำหน้าที่อยู่กับโรงพยาบาลศูนย์ในจังหวัดแห่งหนึ่ง เราพึ่งจบมาใหม่ จึงยังอยู่ในช่วงเทรนงานกับพวกพี่ๆพยาบาลในแผนก เราได้มาประจำอยู่ที่ชั้น4 แผนกอายุรกรรมพิเศษ คนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยวัยชราติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย แทบทุกเตียงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติ บางรายก็รู้สึกตัว บางรายก็ยังคงนอนสงบนิ่งไม่รู้สึกตัว
สภาพในแผนกที่เราอยู่ จะเป็นห้องโถงใหญ่ มีเตียงเกือบสี่สิบเตียง จัดเป็นล็อคๆ ทุกๆครั้งเมื่อถึงเวลาเยี่ยม ภายในแผนกก็จะแลดูวุ่นวาย จ๊อกแจ๊ก จอแจ ไปกับญาติๆผู้ป่วยที่มาเยี่ยมกันอย่างแออัด แม้ว่างานเราแลดูจะเหนื่อย แต่สิ่งที่เราจะเล่าให้ฟัง มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องการทำงานของที่นี่หรอกค่ะ งานพยาบาลเป็นงานเหนื่อยก็จริง แต่จากการเรียนรู้และฝึกฝนมาก็พอจะทำให้เรารับมือกับงานนี้ได้พอสมควร หลังจากที่เรามาทำงานได้เกือบอาทิตย์ ทุกอย่างก็พอจะเข้าที่เข้าทางบ้างแล้ว
มีวันหนึ่ง ช่วงหัวค่ำ ซักทุ่มเศษๆ เราลงมาหาอะไรทาน เพราะวุ่นๆทั้งวันจนไม่ได้มีเวลาทานข้าว เดินไปหน้าโรงบาล ก็ยังพอมีคนขายของกินอยู่บ้าง ก็เลยได้ลูกชิ้นกับฮอตดอกมาประทังความหิว เราถือถุงลูกชิ้นฮอตดอกเดินกลับไปที่ ตึกที่เราประจำอยู่ พอไปถึงใต้ตึก ก็มองหาที่เหมาะๆ ที่พอจะนั่งทานชิวๆได้บ้าง เดินหาอยู่สักพักเราก็มาเจอ ทำเลด้านหลังตึก มันมีที่นั่งแบบเป็นหินอ่อนที่ติดอยู่กับเสาแล้วยาวไปชนกันกับเสาอีกต้น เป็นแบบนี้ ยาวไปตามขอบทางเดิน ตลอดแนว ตรงนั้นมีไฟเปิดอยู่ สองล๊อค เราเลือกที่จะไปนั่งตรงล๊อคที่สอง
พอนั่งลงแล้วหันหลังไปสำรวจรอบตัว ด้านหลังเราก็เป็นลานหญ้า ถัดจากลานหญ้านั้นไป เกือบๆสิบเมตร ก็มีตึกอีกตึก ตั้งอยู่ แต่มันกลับเป็นตึกมืดๆไม่มีแสงไฟในตึก เหมือนกับว่าถูกปิดใช้งาน ตรงลานหญ้าที่เราเห็นก็เลยมึดไปด้วย มีแค่แสงไฟจากตึกที่เราอยู่ ส่องออกไปพอให้เห็น เงาสลัว สลัวบ้าง พอนั่งกินลูกชิ้นไป มองสำรวจรอบๆไป ก็ทำให้เราสังเกตเห็นว่า ถ้าเราเดินไปอีกสองล๊อคมันก็จะเป็นห้องน้ำอยู่ตรงสุดทาง แล้วก็มีประตูห้องเก็บของ ปิดอยู่ตรงล็อคมืดๆ ก่อนถึงหน้าห้องน้ำ ตรงนั้นมันไม่มีแสงไฟ สงสัยหลอดจะเสีย
เรานั่งกินอยู่ตรงนั้นคนเดียวได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ไกลๆ พอหันไปดูก็เห็นเป็นพี่พยาบาลในตึก สองคนเดินมาด้วยกัน พอสบตากับเรา เราก็เลยร้องทักแกไปว่า เดี๋ยวหนูตามขึ้นไปค่ะพี่ แล้วเราก็เลยรีบกินให้เสร็จไวๆ พออิ่มแล้วจะเอาถุงไปทิ้ง หันไปมองรอบๆ หาที่ทิ้งขยะ แล้วตาเราก็บังเอิญ หันไปเห็น เงาดำๆ นั่งอยู่ตรงล็อคที่หลอดไฟขาด ตรงหน้าประตูเก็บของ เราตกใจนิดหนึ่ง อ้าว…มีคนมานั่งอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอจ้องมองดูดีๆ ก็เริ่มมองเห็นเป็นผู้หญิงในชุดพยาบาล นั่งก้มหน้าอยู่ นิ่งๆ เราเลยค่อยๆ เดินไปดูให้แน่ใจ
พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เหมือนพยาบาลคนนั้นเงยหน้ามามองเราพอดี เราก็เลยรับยิ้มให้ มองดูแล้ว น่าจะรุ่นๆเดียวกันกับเรา ก็ถามพยาบาลคนนั้นไปว่า เป็นอะไรหรือเปล่าคะ มานั่งมืดๆ คนเดียว แล้วพยาบาลคนนั้นก็ตอบมาว่า เปล่าค่ะ มานั่งงีบ พักสายตาสักหน่อยน่ะค่ะ เราก็เลยรีบขอโทษเขาไปว่า อุ๊ย โทษทีค่ะ เลยทำให้ตื่นเลย แล้วเขาก็ถามเราว่า ขึ้นวอร์ดตึกนี้หรือ เราก็ตอบว่า ใช่ค่ะ
ตอนที่พยาบาลคนนั้น หันมาสบตากับเราในระยะหนึ่งช่วงตัว เราเห็นแววตาเขาเหมือนคนร้องไห้ มีคราบน้ำตาแฉะเปียกตามขอบตา มันทำให้เรามีเซ้นต์อะไรบางอย่าง เขาคงแอบมาร้องไห้ตรงนี้แน่เลย สงสัยอาจจะโดนพี่ๆเทรนงานหนักจนเครียด ทำให้เราเลยไม่กล้า ถามอะไรเซ้าซี้ แต่สายตาเราก็แอบมองไปดูที่เสื้อพยาบาลคนนั้น แว๊บๆ เห็นปักชื่อไว้ว่า เอมนิการณ์ ทำให้เรารู้สึกสะดุดกับชื่อนั้นขึ้นมาเล็กน้อย อืม ชื่อแปลกดี ไม่เคยได้ยินชื่อแบบนี้ที่ไหน ก็เลยรีบขอตัว แล้วก็เดินตรงไปหน้าห้องน้ำ เอาถุงขยะไปทิ้งที่ถังขยะหน้าห้องน้ำ แล้วก็เดินกลับออกมา พอเดินผ่านพยาบาลคนนั้น เราก็หันไปมอง แล้วก็ยิ้มให้เขา พยาบาลคนนั้นหันกลับมายิ้มตอบให้เรา อย่างอ่อนหวาน
พอขึ้นไปทำงาน ได้สักพักใหญ่ๆ ทุกอย่างปกติ จนถึงช่วงจะออกเวร จู่ๆก็ได้ยินเสียง พี่พยาบาล สองคนกระซิบกระซาบกันไปมา ประมาณว่า “แกเตือนมันสิ” “แกนั้นแหละบอก” “แกนั้นแหละ” พอเราได้ยิน เราก็เลย พยายามเข้าไปถามพี่พยาบาลสองคนนั่นว่า มีอะไรหรือพี่ หนูทำอะไรผิดหรือ บอกหนูได้นะ แล้วพี่พยาบาลหนึ่งในสองก็พูดขึ้นว่า อะ อะ เอ่อ คราวหลังถ้าจะทานข้าว มาทานข้างบนก็ได้นะ อย่าไปนั่งตรงนั้นเลย มันมืด แล้วพี่พยาบาลอีกคนก็พูด แทรกขึ้นมาอีกเสียง ใช่ๆ ตรงนั้นมันมืด ยุงก็เยอะ มาทานด้วยกันข้างบนก็ได้ เราก็เลย หัวเราะ แล้วก็ขอบคุณพี่ๆเขาไป ที่อุตสาห์เป็นห่วง
ผ่านไปหลายวัน พอถึงเวลาพัก เราก็มักจะไปนั่งพักที่ด้านหลังตึกตรงนั้นบ่อยๆ เพราะรู้สึกมันเงียบดี คนก็ไม่ค่อยผ่านไปผ่านมามากนัก บางทีก็เอาอะไรไปอ่านเล่นฆ่าเวลา อยู่ตรงนั้นเงียบๆ
แล้ววันหนึ่ง ช่วงหัวค่ำ เรากำลังจะขึ้นเวร แต่ก็แอบเอาข้าวมานั่งทานอยู่ตรงที่เดิม ก่อนจะขึ้นวอร์ด เรานั่งทานข้าวไปด้วย อ่านหนังสือเล่นไปด้วย สลับกันอยู่แบบนั้น จนถึงช่วงที่กำลังจดจ่อกับการอ่านหนังสือไปเคี้ยวข้าวไป อยู่ๆไฟตรงล็อคที่เรานั่งอยู่ มันก็กระพริบ กระพริบ แปล๊บๆ ลมพัดมาเย็นวูบ เรารีบเงยหน้าขึ้นไปมองที่หลอดไฟ เห็นมันกระพริบ กระพริบ เหมือนจะดับ แล้วไฟตรงล็อคแรก ถัดจากที่เรานั่งมันดันดับไปเฉยเลย พอหลอดตรงนั้นดับ ไฟตรงที่เรานั่ง มันก็หายกระพริบทันที พอไฟกลับมาเป็นปกติ เราก็เลยก้มหน้าลงมาอ่านหนังสือต่อ
อ่านไปได้สักพัก อยู่ๆเราก็รู้สึกเหมือน มีคนมานั่งอยู่ตรงล็อคแรก ที่ไฟมันพึ่งดับ เราก็เลยหันไปมอง ทางล็อคแรก แต่เสาตึกมันบังอยู่ ทำให้มองไม่เห็น เราก็เลย ยืดตัวไปข้างหน้า แล้วก็ชะโงกไปดู ว่ามีใครนั่งถัดไปจากเสาต้นนั้นไหม แล้วเราก็เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เป็นผู้หญิงอยู่ในชุดพยาบาล กำลังก้มดูอะไรสักอย่างอยู่ในมือเงียบๆ คนเดียว เราเห็นว่าตรงนั้นมันมืด เราก็เลยทักคนคนนั้นไป มานั่งตรงนี้ก็ได้นะคะ ตรงนั้นมันมืด คนคนนั้นหันหน้ามามองเรา แล้วก็ยิ้มให้เรา พอเห็นหน้า เราก็เลยจำได้ว่าเป็นพยาบาลคนนั้น ที่เราเคยเห็นเมื่อหลายวันก่อน เสียงเขาตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไรจ่ะ แล้วก็นั่งมองอะไรอยู่ในมือต่อ รอยยิ้มของเขา ทำให้เรารู้สึก ถูกโฉลกกับพยาบาลคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เลยขยับตัวไปใกล้ๆเสาที่กั้น ระหว่างเรากับพยาบาลคนนั้น แล้วก็ชวนเขาคุยต่อ
เธอขึ้นวอร์ดตึกไหน ทำไมเราไม่เคยเห็นเธอเลย พยาบาลคนนั้นก็บอกว่าตึกใหญ่ คนไข้รวม ราก็นึกในใจ ตึกใหญ่มันห่างจากตึกนี้ไกลพอสมควร ทำไมเขาถึงมานั่งพักตรงตึกนี้ แปลกจัง แต่ก็คิดอีกทีในแง่ที่ว่าตรงนี้มันคงสงบดี เขาคงอยากมาพัก เพื่อหลบความวุ่นวายมั้ง เราแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรไป แล้วก็พยายามชวนพยาบาลคนนั้นคุย เผื่อเขาจะได้มีอะไรชี้แนะเราบ้าง คุยกันไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีประเด็นอะไรสำคัญนัก พอใกล้จถึงเวลาจะขึ้นเวร เราก็เลยขอตัวไปทำงานก่อน
วันหนึ่งทางแผนกให้เราไปช่วยดูน้องๆที่เป็นทีมพยาบาลอาสา อีกตึกหนึ่ง เลยทำให้เราได้เจอกับหมอหนุ่มคนหนึ่ง เห็นทางคนในแผนกตรงนั้นเขาเรียกกันว่า หมอตี๋ หมอตี๋เป็นหมอหน้าตาดีมาก จนบางทีเรา ก็แอบเผลอมองหน้าหมอเขาไปหลายครั้ง บางทีหมอก็หันมาสบตากับเราตอนที่เราแอบมอง เพราะมัวแต่เคลิ้มจนหลบตาหมอไม่ทัน เราไปทำงานที่ตึกตรงนั้นหลายวัน จนเริ่มสนิทกับหมอตี๋ หมอเขาก็มาชวนเราคุยเล่นเรื่อยเปื่อยบ้าง มาคุยเรื่องงานบ้าง ตามประสา จนเราหมดหน้าที่ตรงนั้นแล้ว ต้องย้ายกลับไปที่ตึกเดิม พอกลับมาทำงานที่ตึกเดิม ผ่านไปหลายวัน เราก็ไม่ได้คิดอะไร ด้วยความที่งานมันยุ่ง เราก็เลยลืมเรื่องหมอตี๋ไปเลย
แต่แล้ววันหนึ่ง พอเราไปทำงานก็เจอพี่พยาบาลเอาของมาให้ เราก็ งง ๆ เล็กน้อย ใครเอาอะไรมาให้เรา พี่พยาบาลคนนั้นก็แซวเราทันที ไปทำอะไรที่ตึกนั้น หมอเขาถึงตามมาถึงนี่ แล้วก็หัวเราะกัน พี่พยาบาลแกก็บอกว่าหมอตี๋ ไม่ได้มาตึกนี้นานแล้ว แปลกมากอยู่ๆก็เอาของมาฝากแผนกเรา พอได้ฟัง เราก็ได้แต่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คงเป็นน้ำใจจากหมอที่เราไปช่วยงานที่ตึกนั้น
วันนั้นพอถึงช่วงพัก สองทุ่มเศษๆ เราลงไปซื้อข้าวผัดใส่กล่อง มานั่งกินตรงที่ประจำใต้ตึก พอวางขวดน้ำ นั่งลง ดึงข้าวกล่องออกมาจากถุง พอกำลังจะเปิดกล่องข้าว ช้อนพลาสติกมันก็หล่นลงพื้น แล้วก็ปลิวออกไปข้างนอกตรงใกล้ๆสนามหญ้า เราก็เลยนั่งยองๆมองไปตรงใต้ช่องที่เรานั่ง พอเห็นช้อนเราก็เลย เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา พอกำลังจะลุกขึ้น เราก็เห็น พยาบาลเอมนิการณ์ ยืนอยู่ข้างๆเสา ตรงล็อคแรก พอเราเห็นหน้า เราก็รู้สึกดีใจ ที่วันนี้จะได้มีเพื่อนคุย ก็เลยรีบลุกขึ้นแล้วก็บอกว่า รอแป๊บนะ เดี๋ยวมา ฝากดูของให้ด้วย ว่าแล้วเราก็รีบเอาช้อนไปล้างในห้องน้ำ พอออกมาจากห้องน้ำ เดินมาถึงตรงกล่องข้าว
โอ้.. คุณพระช่วย เราเห็นกล่องข้าวคว่ำอยู่ที่พื้น เม็ดข้าวกระจายเกลื่อนที่พื้นตรงนั้นเต็มไปหมด เราตกใจมาก ใครทำอะไรนี่ เรามองไปรอบตัว ไม่เห็น พยาบาลเอมนิการณ์ ไม่เห็นใครเลย พอนั่งลงเก็บข้าวที่ตกกระจาย ในใจเราก็ได้แต่คิดไปมา ทำไมเขาทำกับเราแบบนี้
วันนั้นเราขึ้นไปทำงาน แบบจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดถึงแต่เรื่องที่เราไปสร้างศัตรูไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไม พยาบาลคนนั้นต้องมาทำอย่างนั้นกับเรา เราได้แต่คิดวนไปวนมาในหัว จนทำงานแบบเหม่อลอย พี่ๆที่วอร์ดเขาก็เลยทักเราว่า เป็นอะไร ดูสีหน้าไม่ดีเลย มีอะไรหรือเปล่า เราก็ไม่อยากให้เรื่องเล็กๆของเราทำให้ทุกคนคอยกังวล ก็เลยตอบเขาไปว่า เปล่า…ไม่ได้เป็นอะไร อาจจะเพลียๆนิดหน่อย
หลายวันต่อมา เราไม่ได้ไปนั่งทานข้าวตรงนั้นอีก เพราะไม่อยากเจอพยาบาลเอมนิการณ์ อารมณ์ก็เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปกติแล้ว รู้สึกสบายใจขึ้น เอมนิการณ์เขาอาจจะรำคาญเราก็ได้ที่ชอบไปนั่งในที่ประจำร่วมกับเขา เขาคงไม่อยากให้ใครไปวุ่นวายกับเขามั้ง งั้นเราก็ออกมาจากตรงนั้น ก็คงจบเรื่องหละ
สายๆ หมอตี๋โทรมาหาเราที่มือถือ เราตกใจมากเมื่อหมอตี๋แนะนำว่า นี่ผมเองนะ พอถามว่าเอาเบอร์เรามาจากไหน หมอตี๋ก็บอกว่า ถามคนในแผนกเรา ไม่ใช่เรื่องยากอะไร คุยกันไปมาสักพัก หมอตี๋ก็ชวนเราไปทานข้าว เราก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย จนต้องถามย้ำไปอีกหลายครั้ง สรุปเราก็รับนัดหมอเขาไปค่ะ
วันนี้เราต้องขึ้นวอร์ดช่วงเย็นจนถึงเที่ยงคืน ก็เลยนัดหมอเจอกันตอนไม่เย็นมาก พอมาเจอกัน เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก หมอตี๋พาเราออกไปทานเอ็มเค แล้วก็มาส่งเราที่แผนก ภาพความประทับใจ น้ำเสียง และเรื่องตลกๆที่หมอเล่า ยังคงอยู่ในหัวเรา อย่างกะฝันไป พอมาถึงหน้าตึกที่เราต้องขึ้นวอร์ด ก้าวเท้าลงจากรถ แล้วก็ขอบคุณหมอที่พาไปเลี้ยงข้าว พอรถหมอขับออกไป เรากำลังจะเดินไปขึ้นตึก ก็เจอพี่พยาบาลเข้ามาทัก อ้าวไปไหนกันมากับหมอตี๋ เรายิ้มอายๆ พยายามหลบสายตาพี่เขา แบบทำตัวไม่ถูก
ปะ ปะ เปล่าค่ะ นึกคำพูดไม่ออกเลยจริงๆ มันกระชั้นชิดมากจนไม่ทันตั้งตัว พี่พยาบาลเขาก็หัวเราะเรา แซวเราว่าหน้าแดง เราได้แต่ยิ้ม แล้วก็พยายามรักษาอาการไว้ พอขึ้นไปถึงแผนก พี่เขาก็เล่นเอายิ่งเขินหนักเลย เพราะไปเล่าให้พี่ๆคนอื่นฟังว่า เห็นเราลงจากรถหมอตี๋ ทุกคนก็ยิ่งแซวเราใหญ่ โอ๊ย.. เล่นเอาเราเดินตุปัดตุเป๋ ทำงานงกๆเงิ่นๆ ไม่เป็นท่าเลยคะ หลังจากทุกอย่างสงบแล้ว เราก็พยายามปลีกตัวออกไปจากพี่ๆเขา กลัวเขาแซวเราอีก
จนเกือบๆ ห้าทุ่ม ที่ชั้น6 เรียกลงมาที่วอร์ดให้เอาสายดูเสมหะไปให้ ตอนนั้นแม่บ้านไม่อยู่ เราก็เลยอาสาเอาไปให้แทน จะได้หลบหน้าพี่ๆเขาด้วย เราเดินขึ้นบันไดไป จนถึงชั้น6 แล้วก็เอาของไปให้ แล้วก็ชวนพี่พยาบาลชั้นนั้นคุยอยู่พักหนึ่ง เราก็กลับลงมา ช่วงเดินกลับลงมา พอลงมาถึงตรงพื้นชั้นห้า แล้วก็เดินไปกำลังจะก้าวเท้าลงบันไดต่อ อยู่ๆ เท้าเราก็เหมือนลื่นอะไรบางอย่าง แล้วตัวเราก็ลอยปลิว ขาที่ลื่นเหวี่ยงขึ้นมาจนยกสูงจากพื้น เหมือนใครมายกเท้าเราให้ลอย เราตกใจมาก ร้องว๊าย! ออกมาอย่างลืมตัว วินาทีนั้นรู้เลยว่า ถ้าตกลงไป หลังเราต้องกระแทกกับขอบเหลี่ยมบันไดแน่ รีบเอามือเท้าไปที่ด้านหลังทั้งสองข้าง เสียงร่างเราตกกระทบบันได ดังผลัก
วินาทีแรกที่สิ้นเสียงกระแทก เราเจ็บจี๊ดร้าวไปตามแผ่นหลัง ราวกับเข็มพันๆเล่มแทงหลังเรา เราร้องโอ๊ยตามมา ตัวเรากระเด้งไถลตกลงไปอีกสองสามขั้น ก้นเราก็กระแทกไปกับขั้นบันได จนเจ็บระบมไปหมด
พอร่างเราหงายแน่นิ่งอยู่กับขั้นบันได เราก็ได้แต่เอามือบีบไปที่หลัง ร้องโอดโอยด้วยความทรมาน จนน้ำตาเราไหลออกมา วินาทีนั้นพอทุกอย่างนิ่งเราก็พยายามมองหาคนช่วยเหลือ มองไปที่ชานพักข้างล่าง เห็นเหมือนมีใครกำลังจะเดินลงบันไดไป เราก็เลยรีบร้องบอกเขาไป ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย แล้วคนที่กำลังจะเดินลงไปก็เงยหน้ามามองเรา เราเห็นหน้าเขา เราตกใจเลยค่ะ
เอมนิการณ์ เขามองเราอยู่ตรงนั้นแป๊บหนึ่ง แล้วก็เดินลงบันไดไปเลย ไม่สนใจเราเลย เราได้แต่ร้อง โอ๊ย โอ๊ย น้ำตาไหล ด้วยความเจ็บปวด พยายามนั่งตัวตรง แล้วก็คว่ำหน้าไปที่ขั้นบันได ร้องไห้ออกมา ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย เราร้องให้คนช่วยอยู่แบบนั้น สักพักใหญ่ จนมีป้าแม่บ้านมาเจอเรา นอนคว่ำหน้าฟุบอยู่กับขั้นบันได แกก็เลยบอกว่าเดี๋ยวไปตามคนมาช่วย สักพักพวกพี่ๆที่อยู่แผนกเราก็พากันขึ้นมา เสียงเอะอะ ด้วยความตกใจ พี่เขาก็ถามว่าไปเดินยังไงถึงตกบันไดได้ เราไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ร้องไห้ แล้วเขาก็ช่วยกันพยุงเราไปที่แผนก
พอไปถึงแผนก อาการปวดแปล๊บๆที่หลังเราก็ไม่ค่อยเจ็บแล้ว แต่ถ้ากดไปที่หลังจะเจ็บมาก พี่เขาเปิดดูหลังให้ มันช้ำจนเขียว แล้วพี่เขาก็เลยเอาครีมลดอาการบาดเจ็บมาทาให้ เรานั่งพักอยู่ในวอร์ด ร้องไห้ไม่หยุด จนพี่พยาบาลมาถามว่า ปวดมากหรือ เราก็บอกว่า ไม่ปวดค่ะ แต่หนูเสียใจ ทำไมคนเราถึงใจดำขนาดนั้น พี่พยาบาลสามสี่คนที่ยืนดูเราอยู่ก็ถามว่า ใครหรือใครใจดำ เราก็บอกว่า ตอนหนูตกบันได มีพยาบาลคนหนึ่งเขาเห็นหนูแล้ว เขาไม่ยอมช่วยหนูเลย หนูร้องให้เขาช่วย แต่เขากลับเมินใส่หนูทั้งๆที่ เขาก็รู้จักหนูแล้ว พี่ๆพยาบาลมองหน้ากัน แล้วก็ถามว่า ใคร เราก็เลย บอกว่า พี่รู้จัก พยาบาลเอมนิการณ์ไหม พอสิ้นเสียงเรา พี่ๆพยาบาลก็ร้องออกมาแทบพร้อมกัน หา..! เอมนิการณ์
แล้วพี่พยาบาลคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า อีกแล้วหรือ แล้วพี่พยาบาลตรงนั้น ก็แยกย้ายกันไปทำงานเลยค่ะ เรางงมาก เหมือนพี่เขากลัวอะไรกัน รีบเดินหนีเราไปเลย เราได้แต่งง ทำอะไรไม่ถูก แล้วเราก็เลยรีบเรียกพี่พยาบาลคนหนึ่ง ที่แกเคยพูดว่า ให้เตือนอะไรเราบางอย่าง พี่แกหันมา มองไปรอบๆตัวจนไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้ว แกก็เดินมานั่งข้างๆเรา แล้วก็เล่าอะไรบางอย่างให้เราฟังว่า เมื่อสองปีก่อน เอมนิการณ์ เคยมาฝึกงานที่นี่ แล้วก็ได้คบกับหมอหนุ่มคนหนึ่ง จนคนรู้ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน แต่ด้วยความที่หมอคนนั้นเจ้าชู้มาก ก็เลยทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันอยู่ บ่อยๆ
ที่สุดวันหนึ่ง แม่บ้านก็มาเล่าให้ฟังว่า แอบได้ยิน สองคนทะเลาะกันเสียงดังอยู่ที่ชั้น8 หมอหนุ่มบอกเลิกกับเอมนิการณ์ แล้วก็เดินจากมา ทิ้งให้เอมนิการณ์ ร้องไห้อยู่คนเดียวที่ชั้นนั้น กระทั้งเช้า มีคนพบเอมนิการณ์ในชุดพยาบาล นอนคว่ำอยู่ที่สนามหญ้าข้างตึก สภาพแขนขาบิดเบี้ยว ตามตัวเต็มไปด้วยเลือด ที่ปากและจมูกมีเลือดแห้งเกลอะกัง ตาเหลือก เบิกโพง เหมือนคนนอนจ้องอะไรอยู่ พอเราได้ฟัง ขนแขนเราลุกซู่ขึ้นมาเลยค่ะ พี่พยาบาลก็บอกต่ออีกว่า ที่ที่ศพเอมนิการณ์ตกลงมาก็คือ ตรงใต้ตึก ที่เราไปนั่งทานข้าวนั้นแหละ ขนหัวเราลุกตั้งขึ้นมาเลย ภาพเงาดำๆของพยาบาล เอมนิการณ์ ที่เราเห็นวันแรก โผล่ขึ้นมาในสมองเราทันที
พี่ถึงอยากเตือนเราไง ว่าอย่าไปนั่งแถวนั้น เพราะมีคนเคยเห็นเอมนิการณ์มาหลอกหลายรายแล้ว มีป้าแม่บ้านคนหนึ่ง เอาไม้ถูพื้น ไปเก็บตรงห้องเก็บของข้างๆห้องน้ำ ตอนกลางคืน พอเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้นมันมืดๆ ก็เห็นผู้หญิงยืนก้มหน้าอยู่ในห้องนั้น จนป้าแกร้องลั่น วิ่งหนีออกมา อีกรายหนึ่ง เป็นพยาบาลคนหนึ่งไปนั่งเล่นตรงนั้น แล้วก็มีพยาบาลสาวมาคุยด้วย คุยไปคุยมา พอพยาบาลสาวคนที่มาคุยด้วย เดินหันหลังให้ เท่านั้นแหละ น้องพยาบาลคนนั้นเป็นลมเลย เพราะข้างหลังพยาบาลสาวคนนั้น มีเลือดเต็มเสื้อไปหมด
พี่ พี่ พอแล้ว พอแล้ว หนูกลัว เราขนลุกไปหมด ยื่นแขนให้พี่พยาบาลดู พี่พยาบาลคนนั้นก็เลยมองเราค้อนๆ นี่ถ้าเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก เราก็คงไม่เชื่อพี่หรอกใช่ไหม เราใจเต้นแรงมาก เพราะเจอกับเอมนิการณ์เต็มๆ พอนั่งนึกสักพัก เราก็เลยถาม พี่พยาบาลคนนั้นไปว่า อ้าว แล้วทำไมเขาต้องมาทำร้ายหนูด้วยพี่
พี่พยาบาลคนนั้นก็เล่าให้ฟังว่า ก็ตั้งแต่เอมนิการณ์ เสียชีวิต ดูเหมือนว่าวิญญาณเธอจะตามจองล้างจองผลาญหมอหนุ่มคนนั้นอยู่ไม่ขาด เห็นได้ยินข่าวว่า ใครที่มาคบกับหมอหนุ่มคนนั้น ก็มีอันเป็นไปทุกราย เราตัวสั่นขึ้นมาเลย มองหน้าพี่พยาบาล หมอหนุ่มคนนั้น คือ…พี่พยาบาลมองตาเรานิ่งๆ ก่อนจะพูดว่า ใช่ เขาคือ หมอตี๋
หลังจากออกเวร เรากลับมาที่ห้องพัก แม้ว่าอาการเจ็บที่หลังจะดีขึ้นแล้ว แต่พอนอนลงไปบนที่นอนครั้งแรก มันก็รู้สึกเจ็บแปล๊บๆอยู่บ้าง เรานอนนึกถึงเรื่องที่พี่พยาบาลคนนั้นเล่าให้ฟัง ไม่น่าเชื่อเลยว่า ปูมหลังของหมอตี๋จะเลวร้ายได้ขนาดนั้น พี่พยาบาลคนนั้นบอกว่า ถ้าไม่คิดจะจริงจังอะไรกับหมอตี๋ ก็คบกันแค่ขำๆพอได้ แต่ถ้าคิดจะจริงจังขึ้นมาเมื่อไหร่ พี่เขาเตือนว่าหมอตี๋เจ้าชู้มาก ระวังจะจบไม่สวย คำพูดของพี่พยาบาลทำให้เราแทบใจสลายเลย นึกถึงหน้าเขาที่ไรเราก็สับสน แต่พอนึกถึงวิญญาณ เอมนิการณ์ ขึ้นมา เราก็เย็นเฉียบไปที่เท้าทันที ต้องรีบดึงผ้าห่มมาปิดจนถึงคอ ตัวหนาวๆร้อนๆวูบวาบอย่างกะคนจะเป็นไข้ เลยยกมือขึ้นพนม เอมนิการณ์ เราสัญญาเราจะไม่ยุ่งกับหมอตี๋แล้ว อย่ามาทำอะไรเราเลยนะ แล้วเราจะพยายามทำบุญไปให้เยอะๆนะ
หลับไปได้สักพักใหญ่ เรารู้สึกตัว เพราะได้ยินเสียงฟ้าร้องกระหน่ำอยู่ข้างนอก พอลุกขึ้นมา มองดูไปที่หน้าต่างก็เห็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ กำลังจะลุกไปปิดหน้าต่างที่เราแง้มๆไว้ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงดังปัง แรงมากจนเราตกใจ รีบวิ่งออกไปดูนอกห้อง ในห้องโถงของห้องพักมืดสลัวๆ เรามองไปรอบห้องยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร ก็เลยรีบเดินไปเปิดไฟ พอแสงไฟสว่างขึ้น ก็เห็นประตูห้องรูมเมทเปิดอ้าอยู่ พอเราเรียกชื่อเขา เขาก็เงียบ เลยชะโงกหน้าเข้าไปดูข้างในห้อง ก็ไม่เห็นมีใคร หรือเสียงดังปังเมื่อกี้ คือเขาออกไปนอนห้องหรือ แล้วออกไปทำอะไรดึกๆแบบนี้ เราค่อยๆเปิดประตูห้องออกไปดูตรงระเบียงทางเดิน มองซ้ายมองขวาก็เริ่มได้ยินเสียง เหมือนคนกำลังโวยวายอะไรกันอยู่ เราก็เลยรีบออกไปดูตามระเบียงทางเดิน ลมพัดมาแรง เสื้อผ้าเราปลิวไปมา จนเรารู้สึกหนาว
พอมาถึงบันได ก็เห็นเหมือนเงาคนสองสามคนเดินหายขึ้นไปชั้นบน เราก็เลยรีบเดินตามขึ้นไป มีเรื่องอะไรกันนะ สักพักก็ได้ยินเสียงเอะอะกันดังขึ้น เรารีบวิ่งตามไปจนถึงชั้นบนสุด ได้ยินแต่เสียง คนร้องว่า อย่า อย่า เรามองขึ้นไปตามบันไดข้างบน มันเป็นชั้นที่จะสุดบันไดแล้ว ข้างบนนั้น มีเสียงลมพัดประตูดังเอี๊ยดๆ กำลังจะวิ่งตามขึ้นไปดูว่ามีอะไร อยู่ๆหางตาเราก็เห็นเหมือนมีอะไร ขาวๆ เคลื่อนไหวอยู่ตรงนอกระเบียง พอรีบหันกลับไปดู เราก็เห็นร่างคนเสื้อขาวๆ ร่วงผ่านระเบียงที่เรายืนอยู่ ไปต่อหน้าต่อตาเรา
คุณพระช่วย เราตกใจมาก ได้แต่ยืนนิ่งเอามือปิดปาก คนโดดตึกหรือ พอนึกได้ เราก็รีบวิ่งไปที่ระเบียง ชะโงกหน้า พยายามก้มมองไปข้างล่าง แต่ด้วยที่ข้างล่างมันมืดมาก ฝนก็ตกอยู่ด้วย ก็เลยทำให้มองไม่เห็นอะไร พอเรากำลังจะเดินไปที่ลิฟท์ อยู่ๆไฟก็ดับพรึ๊บลง อย่างไม่ทันตั้งตัว เราตกใจมาก รอบๆข้างมืดลงอย่างฉับพลัน จนไม่ กล้าขยับไปไหน พอแสงฟ้าแลบ ส่องแสงมา เราก็มองเห็นบรรยากาศตรงระเบียงทางเดินตรงนั้น มันวงเวงมาก พอหันไปมองรอบๆตัว ก็เล่นเอาขนลุกซู่ขึ้นมาเลยค่ะ บรรยากาศข้างบนนี่ ทำไมมันเหมือนไม่มีใครอยู่กันเลย
แล้วพอฟ้าแลบมาอีกที สายตาเราก็เห็นอะไรบางอย่าง เป็นเงาตะคุ่มตะคุ่ม อยู่ตรงปลายทางระเบียงตรงนั้น เราเสียวสันหลังแปล๊บขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ได้แต่จ้องมองไปข้างหน้ามืดๆ พอฟ้าแลบส่องแสงมาอีก เราก็ไม่เห็นอะไรอยู่ตรงนั้นแล้วค่ะ ทุกอย่างว่างเปล่า และวังเวง เรายืนตัวสั่นพยายามตั้งสติต่อ ใจเต้นแรงมาก พอกำลังจะหันหลังกลับ ฟ้าก็แลบมาอีก สายตาเราก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างโดยบังเอิญ มันทำให้เราถึงกับผวาขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงข้างหน้าลิบๆนั้น มันเป็นหัวใครบางคนผมยาวๆ โผล่ออกมาจากซอกกำแพง
เราขนลุกซู่ แขนขาชาทำอะไรไม่ถูก หายใจแรงถี่ๆ ตาได้แต่จ้องมองไปในความมืด รอแสงฟ้าแลบมาอีกทีด้วยใจระทึก พอฟ้าแลบพรึบ ก็เห็นร่างผู้หญิงผมยาวปะไหล่ หน้าขาวซีด ยืนนิ่งอยู่ตรงปลายทางเดิน เราสะดุ้งไปกับภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว ขาเกร็งจนแทบจะขยับไม่ได้ รอบตัวเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
ใครอะ เรารีบร้องถามออกไป แต่ไม่มีเสียงตอบ พอฟ้าแลบมาอีก เราก็เห็นร่างผู้หญิงคนนั้น ยืนนิ่งๆแต่มาปรากฏอยู่ใกล้เรามากขึ้น เราตัวสั่น กระวนกระวาย ถามเขาไปอีกว่า ใคร คุณเป็นใคร พอฟ้าแลบมาอีก คราวนี้เขาก็มายืนอยู่ใกล้ๆเราแล้ว ห่างจากตัวเราไม่ถึงสองเมตร เรากรีดร้องออกมาอย่างตกใจ หน้าผู้หญิงขาวซีดคนนั้น คือ เอมนิการณ์ แล้วไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆ ตัวเอมนิการณ์ก็ทรุดตัวลง เราตกใจ มองไป ก็เห็น กระดูกขาเอมนิการณ์แทงทะลุเข่าขึ้นมาทั้งสองข้าง เราร้อง อ๊ายๆ ออกมาจุดสุดเสียง แล้วตัวเอมนิการณ์ก็ล้มคว่ำหน้าลงไปกับพื้น พยายามใช้มือดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ตรงข้อศอกก็มีกระดูกแทงทะลุเนื้อออกมาอีก
โอ๊ย.. ภาพสยองจนเราต้องรีบเอามือมาปิดหน้า ร่างนั้นค่อยๆเงิยหน้าขึ้นมามองเรา เลือดก็เริ่มทะลักออกมาจากปากเอมนิการณ์ เราพยายามหรี่ตามอง ไม่กล้ามองเต็มๆ แล้วอยู่ๆร่างนั้นก็คลานแนบกับพื้นมาหาเราอย่างไว เราร้องกรี๊ด พุ่งพรวดขึ้นมาจากที่นอน หายใจแรง เหมือนพึ่งหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญ มองไปรอบตัว ตรงหน้าต่างเห็นฝนตกปรอยๆ นี่เรา เก็บเอาเรื่อง เอมนิการณ์มาฝัน เป็นตุเป็นตะขนาดนี้เลยหรือ ฝันน่ากลัวมาก หลังจากที่ทราบความจริง เราก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่พบกับหมอตี๋ แม้เขาจะโทรเข้ามือถือเรา เราก็ไม่รับสาย หรือแม้กระทั่งโทรเข้ามาที่แผนก เราก็บอกปัดไปว่าไม่ว่าง
จนวันหนึ่ง หมอตี๋ก็มาดักเจอเรา ตอนนั้นเรากำลังขึ้นลิฟท์ ก็เจอหมอตี๋เดินเข้ามาในลิฟท์พอดี เราตกใจมากไม่รู้จะหลบเขายังไง แต่ก็พยายามยิ้มให้ตามปกติ หมอเขาก็ถามว่า ทำไมไม่รับสายเขาเลย เราก็บอกว่า อยากรับนะ แต่ว่าไม่ค่อยว่างเลย งานยุ่งตลอด เราพยายามคุยแบบปกติ เหมือนคนยังไม่รู้เรื่องอะไรของเขา เขาก็ถามอะไรเรานิดหน่อย แล้วก็ยื่นถุงกระดาษมาให้เรา เราถามว่าอะไร เขาก็บอกว่า ซื้อมาฝาก เราขอบคุณแล้วก็รับมาเปิดดู มันเป็นเสื้อผ้าอะค่ะ ก็ได้แต่ยิ้มให้เขา ในใจก็ได้แต่คิดว่า ขอโทษด้วยนะที่ต้องเย็นชาแบบนี้ ทั้งๆที่อยากกอดใจจะขาด จนแยกย้ายกันไป เราก็มานั่งในแผนก เอาถุงเสื้อที่หมอซื้อให้วางไว้ที่โต๊ะ แล้วสักพักก็เริ่มไปทำงานต่อ
ช่วงหนึ่ง มีคนไข้เคสหนึ่ง อาการไม่ดี เลยต้องเข้าไปช่วยดู เห็นเครื่องแจ้งว่า อ๊อกซิเจนตก ก็เลยทำการดูดสเลดให้ แล้วก็ช่วยดูอาการรวมต่างๆ จนเริ่มดีขึ้นแล้ว ก็เลยกลับออกมา แต่ตอนกำลังจะเดินผ่านไปที่เตียงข้างๆ อยู่ๆคุณยายเตียงข้างๆก็ยิ้มให้เรา เรามองไป ก็จำได้ว่า คุณยายเตียงนี้แกขยับตัวไม่ได้มาหลายวันแล้ว วันนี้อาการดีขึ้นมากเลย เลยเข้าไปทัก เป็นยังไงคุณยาย แข็งแรงขึ้นแล้วนะคะ คุณยายก็ยิ้มให้แล้วก็บอกว่า จ๊ะ เรายิ้มให้แก แล้วก็กำลังเดินกลับ อยู่ๆแกก็พูดขึ้นว่า หนูดูหน้าหมองคล้ำนะ หมั่นไปทำบุญนะลูก เราสะดุ้งเลย จริงหรือคุณยาย แล้วคุณยายก็แนะนำประมาณว่า
ยายเคยเห็นคนหน้าหมองคล้ำแบบนี้ มาหลายรายแล้ว ส่วนใหญ่มักจะดวงตก หรือโดนเจ้ากรรมนายเวรเล่นงาน หนักๆก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตก็ได้ ถ้าจะให้ดี ควรหาเวลาไปนั่งวิปัสนากรรมฐาน ดูก็ดีนะ จะได้ช่วยจากหนักให้เป็นเบา เราได้ฟัง ก็ไม่คิดเลยว่าคุณยายแกจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เห็นนอนนิ่งมาหลายวันแล้ว
พอกลับไปนั่งพักในแผนก นั่งทำโน่นทำนี่ไปได้สักพัก ก็มีพี่พยาบาลมาชวนคุย พอแกมานั่งใกล้ๆหยิบโน่นหยิบนี่ไปแล้วก็มาเจอถุงเสื้อที่วางอยู่ แกก็เลยถามว่า ถุงกระดาษใคร เราก็เลยบอกว่า ของหนูเอง พี่พยาบาลแกก็ชะโงกเข้าไปดูในถุงแป๊บหนึ่ง แล้วก็ถามว่าซื้อเสื้อใหม่หรือ เราก็ตอบว่า เปล่า ของหมอตี๋น่ะ เขาซื้อมาฝาก พี่พยาบาลก็หันมามองค้อนเรานิดๆแบบหยอกๆ ร้ายนะเรา ยังไม่เลิกกันหรือ เราก็เลยปรับทุกข์กับพี่เขาไป ก็อยากค่ะ แต่เขาก็ตื๊อมากเลย พี่พยาบาลเขาก็แซวเราต่อ จนเราเลยต้องพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ก็เลยถามพี่พยาบาลเขาไปว่า พี่พอจะรู้จักวัดที่เขาไปนั่ง วิปัสนากรรมฐานบ้างไหม พี่พยาบาลก็ตอบว่า ก็พอรู้นะ แล้วพี่เขาก็แนะนำให้เราไปวัดแห่งหนึ่ง ดีมากเลย
เราก็รับฟังพี่เขาไว้ แล้วพี่เขาก็ถามว่านึกยังไงถึงอยากไป เข้าวัด นั่งวิปัสนา เราก็เลยเล่าให้พี่เขาฟัง ว่าเจอเรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกใจคอไม่ดี ส่วนหนึ่งก็อยากไปทำบุญให้กับคนของคุณหมอด้วย แล้วก็เมื่อกี้ มีคุณยายเตียง 16 เขาก็ทักมาด้วยว่า หน้าหนูหมองคล้ำ ให้หนูไปทำบุญ หรือไปวิปัสนาก็ดี ก็เลยคิดอยากลองไปทำดู พอพี่พยาบาลฟังเราเล่าจบ แกก็ ดูตื่นเต้น แล้วก็บอกว่า ไหน ไหน ไหน อยากให้คุณยายดูให้พี่บ้างจัง เราก็ได้แต่หัวเราะพี่เขา ว่างๆค่อยให้คุณยายดูให้เน๊าะ
แล้วเราก็นั่งทำงานกันต่อ สักพักใหญ่ๆ มีเคสมาใหม่ หลังจากมาแจ้งประวัติแล้ว พนักงานเวรเปล ก็เข็นเตียงเคสใหม่เข้ามา เราก็ตามเข้าไปช่วย สไลด์ผู้ป่วยขึ้นเตียง พอเอาผู้ป่วยขึ้นเตียงเสร็จ มองไปที่หัวเตียง เตียงเบอร์16 เราตกใจเลย พึ่งนึกขึ้นได้ อ้าว คุณยายที่อยู่เตียงนี้ไปไหนแล้ว ย้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วน้องผู้ช่วยในแผนกก็ตอบมาว่า คุณยายแกเสียไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว อ้าว..ขนหัวเราลุกตั้งเลย โห คุณยาย ยังอุตสาห์มาเตือนหนูอีก เรารีบเดินกลับไปนั่งในแผนก นิ่งๆเงียบๆ ไม่คุยกับใครเลย
จนเที่ยงคืน ออกจากเวร เราก็ลงลิฟท์มาถึงชั้นล่าง ในมือก็ถือถุงกระดาษของคุณหมอ แล้วเราก็บังเอิญมองไปทางหลังตึกตรงที่เราเคยไปนั่งประจำ นึกยังไงไม่รู้ อยู่ๆเราก็เดินไปตรงนั้นแบบ เหม่อลอย มองไปทางห้องน้ำ หน้าห้องเก็บของยังคงเป็นมืดๆเหมือนเดิม แล้วเราก็เดินไปตรงล็อคที่สองที่เราเคยนั่ง เอาถุงเสื้อไปวางไว้ตรงที่นั่งข้างๆเสา แล้วพูดว่า เอมนิการณ์ พี่หมอเขาซื้อมาฝากน่ะ ว่าแล้ว เราก็รีบเดินกลับออกมาเลยไม่หันหลังไปมอง พอเดินผ่านตึกมาได้สักพัก เราก็รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้เลย รู้สึกเริ่มมึนๆหัว แล้วก็ ปวดหัวนิดๆ คิดในใจกลับไปห้องต้องทานยาดักไว้แล้ว
พอไปถึงห้องอาบน้ำทำธุระเสร็จก็เลยทานยาดักไว้ พอมานอนได้สักพักก็เริ่มรู้สึกตัวร้อน แล้วก็เริ่มปวดหัวแรงขึ้น แต่ก็พยายามฝืนให้หลับ จนหลับไปสักพักมารู้สึกตัวอีกที เพราะปวดหัวมาก ปวดเหมือนหัวจะแตกเลยค่ะ เลยลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้วก็ หายามาทานเพิ่ม เดินออกไปนอกห้อง กินยาเสร็จก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ทำไมมันปวดมากเลย พอปิดไฟในห้อง เดินไปที่เตียง ผ่านโต๊ะกระจก หางตาเราก็เห็นอะไรแว๊บๆ หลังค่อมๆ อยู่บนตัวเรา เราก็เลยเดินถอยกลับมามองในกระจกอีกที กรี๊ด ผะ ผะ ผีพยาบาลเกาะอยู่ตรงหลังเรา เอามือบีบขมับเราอยู่
เราร้องลั่นออกมาจนสุดเสียง สายตาของผู้หญิงหน้าขาวซีดเกาะอยู่ด้านหลัง จ้องมองเราอยู่อย่างถมึนทึง ขนหัวเราลุกตั้ง เย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที รีบวิ่งออกไปนอกห้อง ปิดประตูเสียงดังปั้ง กึ่งวิ่งกึ่งกระโดดไปเปิดไฟในห้องโถง แล้วก็ร้องเรียกพี่รูมเมท พี่ พี่ พลางเอามือทุบประตูไปมา แต่ก็เงียบไม่มีใครตอบกลับมาเลย เราใจสั่นไปหมด หนาวๆร้อนๆ เหมือนจะเป็นลม แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลูกบิดประตู บิดดัง แกร๊ก เราตกใจวูบ รีบหันไปมองตามเสียงนั้น แล้วก็เห็นประตูห้องเรา มันค่อยๆ เปิดแง้มเข้าไปข้างในช้าๆ
เราเข่าทรุดเลยค่ะตอนนั้น รีบถอยหลังไปนั่งพิงกับประตูทางออก สายตาก็มองไปที่ช่องประตูมืดๆอย่างไม่ละสายตา ใจก็เต้นแรง พลางคิด จะทำยังไงดี พร้อมๆกับกลั้นลมหายใจจนแทบจะหยุดนิ่ง
แล้วทันใดนั้นเอง อยู่ๆช่องประตูนั้นก็ค่อยๆอ้าออกช้าๆ เรามองไปตรงแถวๆลูกบิดเริ่มเห็นมือเรียวยาวขาวซีด โผล่มาจับอยู่ตรงขอบประตู มือนั่นผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แล้วร่างมัน ก็ค่อยๆเลือนเด่นขึ้นมาในความมืด เราเอามือปิดปากตัวเองไว้แน่น คุณพระช่วย มองไปก็เห็นเหมือนร่างดำๆไม่มีหัว แต่พอมองดูดีๆ คอมันหักพับมาจากด้านหน้า เผยให้เห็นเหมือนคนห้อยหัว ทิ้งผมยาวลงไปตามลำตัว มีปากกับคางอยู่ด้านบน แสยะยิ้มกว้างจนมุมปากเกือบถึงใบหู เลือดไหลเยิ้มรอบปากจนฟันเป็นสีแดง ดวงตาที่อยู่ด้านล่าง ถลนมามองเรา จนแทบจะหลุดออกนอกเบ้า
เราร้องลั่นอย่างสุดที่จะฝืน รีบหันหลังลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง แล้วก็วิ่งออกจากห้องนั้นทันที พอออกมานอกห้องได้ ไฟตามโถงทางเดิน สว่างจนทำให้เรารู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง รีบเดินไปที่ลิฟท์อย่างไว อย่างน้อย ก็ขอลงไปเจอใครที่อยู่ข้างล่างบ้างก็ยังดี พอมาถึงหน้าลิฟท์ รีบกดเรียกลิฟท์ ยืนรอด้วยความระแวง มองซ้ายมองขวาไปด้วย มือได้แต่กำแล้วยกมาชิดอยู่ตรงแถวๆร่องอก กระสับกระส่ายไปมา สักพัก ลิฟท์ก็มา พอเข้าไปอยู่ในลิฟท์ได้ เรารีบกดให้มันลงไปชั้น 1
พอลิฟท์เคลื่อนลง จากชั้น 6 มาชั้น 5 มาชั้น 4 แล้วลิฟท์ก็หยุด ติ๊ง! เรารู้สึกดีใจมาก มีคนลงลิฟท์เป็นเพื่อนแล้ว แล้วประตูลิฟท์ก็เปิดออก ฝรืด..มันกลับว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยค่ะ เราชะโงกหน้าออกไปดูนอกลิฟท์ เห็นไม่มีใคร เราก็เลยรีบกดปิดลิฟท์ แล้วลิฟท์ก็ลงต่อ ไปชั้น 3 แล้วก็ไปชั้น 2 แล้วก็หยุดอีก ติ๊ง! ประตูลิฟท์ก็เปิดออก แล้วก็เหมือนเดิม ไม่มีใครอยู่อีก เราใจเริ่มเต้นตุ๋มๆต่อมๆขึ้นมา อีกชั้นเดียว จะลงได้แล้ว แล้วพอประตูลิฟท์ปิด พอลิฟท์เคลื่อน เฮ้ย..
ลิฟท์มันกลับขึ้นไป อ้าว ชั้น 3 แล้วก็ไปต่อชั้น 4 เราตกใจมาก รีบเอื้อมมือไปกดชั้นใกล้ที่สุดดักไว้ 5 แล้วลิฟท์ก็เลยชั้น 5 ไป เราก็เลยรีบกดดักไว้อีก 6 แล้วลิฟท์ก็เลยชั้น 6ไป พอเห็นมันไม่หยุดเปิดที่ชั้นนั้น เราก็รีบถอยหลังกลับไปยืนชิดผนังลิฟท์ด้านในสุด อะไรของมันนี่ แล้วลิฟท์มันก็ขึ้นไปเรื่อยๆเลยคะ ชั้น 7 แล้วก็ ชั้น 8 เป็นชั้นสุดท้าย ติ๊ง แล้วประตูก็เปิดออก ฝรืด….
เรามองออกไปข้างหน้า มันมืดๆ มีแค่เสียงไฟจากในลิฟท์ส่องออกไปจนมองเห็นพื้นด้านหน้า ใจเราเต้นแรงตึกๆไปมา ไม่กล้าเดินออกไปดูหน้าลิฟท์เลยว่ามีใครเรียกลิฟท์มาชั้นนี้ พอเห็นทุกอย่างเงียบ เราก็เลยรีบกดปุ่มปิดประตู ประตูลิฟท์ก็ค่อยๆเลื่อนปิดเข้ามาช้าๆ พอลิฟท์กำลังจะไปชั้นล่าง เลื่อนไปได้สักพัก อยู่ๆ เราก็ได้ยินเสียง ตึง ในลิฟท์รู้สึก กระเด้ง จนตัวเราเซ แล้วไฟก็ดับ พรึบ เรารีบถอยหลังไปติดผนังลิฟท์ แล้วไม่กี่วินาทีไฟก็มา พอไฟติด ลิฟท์มันก็เหมือนเลื่อนขึ้นไปที่ชั้น 8อีก เรามองไปตรงช่องบอกชั้นลิฟท์ เห็นไฟสีแดงๆขึ้น มีข้อความติดตรงป้ายว่า Emergency พอลิฟท์มาถึงชั้น8 ประตูมันก็เปิดออก แล้วก็ค้างไว้ เรารีบกดปิดประตู แต่มันก็ค้างอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมปิด สุดท้ายเราก็เลยค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปมองนอกลิฟท์ช้าๆ มองออกไปรอบๆ บรรยากาศมันวังเวงมาก มืดแล้วก็เงียบ
พอเราเดินออกมาจากลิฟท์ ก็ยิ่งทำให้ขนลุกขึ้นมาเลยค่ะ ชั้นนี้มันเหมือนมีห้องที่ประตูล็อคด้วยแม่กุญแจใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย พอเราค่อยๆเดินไปดูใกล้ๆ สองสามห้อง ก็ถูกล็อคด้วยกุญแจแบบเดียวกัน แสดงว่าชั้นนี้ไม่มีใครอยู่เลยหรือ เรารีบเดินถอยหลังไปหาแสงสว่าง ตรงที่แสงออกมาจากลิฟท์ แล้วก็รีบเดินไปที่โถงบันไดหลัก กะว่าจะลงไปหาคนที่อยู่ชั้นล่าง ชั้น 7 น่าจะยังมีคนอาศัยอยู่นะ พอกำลังจะเดินลงไป เราค่อยๆส่องมองไปตรงบันไดทางเดิน เห็นเหมือนมีเงาตะคุ่มตะคุ่ม เป็นเงาร่างท้วมๆกำลังลากอะไรอยู่ตรงชานพัก
เรารีบหลบตัว ให้ช่องมุมผนังบังตัวเราไว้ สักพักก็เริ่มได้ยินเสียงลากนั้นใกล้ขึ้นมา ใกล้ขึ้นมา แล้วก็เริ่มได้ยินเสียง ผู้ชายดัง ขึ้นว่า หนัก เป็นบ้าเลย เฮ้ย.. เหนื่อย แล้วก็ตามด้วยเสียงหายใจแรงๆ เราใจเต้นถี่มาก รีบถอยหลัง แล้วก็วิ่งเข้าไปหลบในลิฟท์ สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนคนลากอะไร ค่อยๆขึ้นบันไดไปชั้นบน เรารีบออกมาจากลิฟท์ วิ่งไปส่องดูตรงมุมผนัง เห็นขาคนถูกลากขึ้นไปแว๊บๆ แล้วสักพักก็เริ่มได้ยินเเสียงประตูเปิด แอ๊ดออก ตรงข้างบน เรารอจนได้ยินเสียงคนลากอะไรออกไปตรงข้างนอกประตูแล้ว เราถึงเดินขึ้นไป แล้วพยายามแอบมองดู ว่าเขาทำอะไร พอมองออกไปข้างหน้า เห็นเป็นเงาตะคุ่มตะคุ่ม กำลังลากคนนอนหงายอยู่ พอฟ้าแลบมา ก็เผยให้เห็นถึง คนที่กำลังลากอะไรอยู่
เอ้ย.. รปภ อ้าว นั้นพยาบาล นี่ รปภ กำลังลากพยาบาลไปไหน แล้วความกลัวอะไรบางอย่างก็ เเว๊บขึ้นมาในหัวเราเลยค่ะ ที่ไฟดับนี่อย่าบอกนะว่า รปภ เป็นคนปิดเบรคเกอร์ เพื่อจะไม่ให้กล้องจับภาพได้ แล้วอย่าบอกนะว่า เขากำลังจะโยนพยาบาลคนนั้นลงไปจากดาดฟ้า ถึงได้พาขึ้นมาบนดาดฟ้านี้ เรารู้สึกสยองขึ้นมา จนตัวสั่นไปหมด ในใจก็ได้แต่คิดว่าทำยังไงดี ถึงจะช่วยพยาบาลคนนั้นไว้ได้
แล้ววินาทีนั้น เหมือน ชายท้วมๆคนนั้น เดินไปดูอะไรสักอย่างตรงมุมตึก เขาเอาร่างพยาบาลพิงไว้ตรงหลังผนังแท้งน้ำ เราเลยตัดสินใจ ค่อยๆย่องๆไปหาพยาบาลคนนั้น จนถึงตัว เห็นผมปิดหน้าปิดตาเขาอยู่ เราเลยรีบปลุกเขา เธอ เธอ ตื่นๆ ตื่นๆ แต่ก็เงียบ เธอยังแน่นิ่งอยู่ เรารีบเอามือปัดผมที่หน้าเธอออก เห็นหน้าเธอแล้ว รู้สึกเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง แล้วพอฟ้าแลบมา เราก็เห็นชื่อเธอ ที่ปักอยู่ตรงอกเสื้อ ชลดา
พอเราเอ่ยชื่อขึ้น อยู่ ๆ เธอก็ลืมตามมามองเรา แล้วก็ค่อยๆหัวเราะ เบาๆขึ้น หึ หึ หึ หึหึ เธอค่อยๆยิ้มมุมปากเหมือนกับว่าทำอะไรบางอย่างสำเร็จแล้ว เรามองหน้าเขาด้วยความสงสัย เป็นอะไร หัวเราะทำไม แล้วอยู่ๆก็มีลมพัดวูบเข้ามา เรารีบหันไปมองทางที่ รปภ อยู่ พอหันกลับมามองพยาบาลคนนั้น อีกที เขาก็หายไปแล้วค่ะ เราตกใจมาก รีบถอยหลังออกมาทันที
เฮ้ย.. แล้ววินาทีนั้น เสียงดังปังก็ดังขึ้น เรารีบหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นประตูดาดฟ้า มันเปิดอ้าจนไปชนกับผนังอีกด้าน เสียงดัง แล้วขนหัวเราก็ลุกตั้งเลยค่ะ ร่างพยาบาลหน้าขาวซีด ยืนอยู่ในช่องประตูตรงนั้น แล้วก็เดินตรงมาหาเรา เรารีบมองหาทางหลบ แล้วอยู่ๆเราก็เห็น เงาร่างดำๆ ยืนอยู่ตรงอีกขอบตึก ค่อยๆกลายร่างเป็นพยาบาล แล้วก็ชี้มือไปที่ ที่หนึ่ง เราเห็นดังนั้น ก็รีบวิ่งไปตามทางที่พยาบาลคนนั้นชี้
พอวิ่งไปใกล้จะถึง ประตูตรงนั้น ร่างพยาบาลคนนั้นก็หายไป เราไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะตอนนั้น รีบวิ่งไปเปิดประตู แล้วก็วิ่งลงบันไดลงมาเลย ได้ยินแต่เสียงประตูปิดไล่หลังเรามา พร้อมๆกับเสียงผู้หญิงคุ้นๆหู อย่ามายุ่ง ออกไป หา เสียงนั้น เอมนิการณ์ ! เราตกใจมาก ยืนหันหลังไปมองที่ประตู ก่อนจะได้ยินเสียงเล็กๆตอบกลับมา พี่หยุดเถอะ อย่าสร้างเว..แล้วเสียงก็ตัดไป กลายเป็นเสียง อะไรกระทบกับผนังกำแพงดังโครมใหญ่ เราสะดุ้งกับสิ่งที่ได้ยิน รีบวิ่งต่อ รู้สึกตรงนี้มันจะเป็นบันใดหนีไฟนะ เพราะทางเดินมันแคบๆ แล้วก็มืดมากๆ เราวิ่งลงไปไม่กี่ชั้น ก็เจอประตู พอจะเปิดประตูปรากฏว่ามันเปิดไม่ได้ค่ะ มันต้องผลักออกมาจากข้างนอกเท่านั้น คนข้างในบันไดหนีไฟจะเปิดประตูออกไปไม่ได้ เราเลยตัดสินใจวิ่งลงต่อไปเรื่อยๆ พลางคิดถึงข้างล่าง มันคงต้องมีทางออกหละ
แล้วอยู่ๆเราก็ได้ยินเสียง รองเท้าส้นแข็งๆกระทบกับขั้นบันได ดัง ตึก ตึก เหมือนคนกำลังเดินตามหลังเราลงมา เราหยุดวิ่ง ตั้งใจฟัง แล้วเราก็ค่อยๆแอบมองขึ้นไปตามทางเดิน คุณพระช่วย เราเห็นเงาดำทะมึนในชุดพยาบาล กำลังถือขวานด้ามใหญ่ค่อยๆเดินลงมาหาเรา พอเห็นดังนั้นเราก็รีบวิ่งเลยค่ะ เสียง รองเท้าดัง ตึก ตึก ตึก ไล่หลังเราลงมา เรารีบวิ่งไม่คิดชีวิต วิ่งวนไปตามบันได ร้องกรี๊ดๆไปตลอดทาง วิ่งมาเรื่อยๆ จนใกล้จะถึง เห็นตรงข้างๆประตูเขียนว่า ชั้น 2 เราดีใจมาก ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียง ตึก ตึก ตึก ดังไล่หลังเราลงมา เรารีบวิ่งลงไปต่อ ใกล้จะถึงทางออกแล้ว พอลงมาถึงประตูอีกบาน ข้างๆประตูเขียนว่า ชั้น 1 เรารีบผลักประตูออกไปเลยค่ะ อ้า.. รอดแล้วเรา
พอผลักประตูออกมาได้เท่านั้นแหละ เฮ้ย.. ข้างหน้ามันดันมี ประตูเหล็กยืดที่เป็นช่องซี่ๆ กันไว้อีกชั้น เราตกใจมาก รีบวิ่งไปเอาหน้าแนบกับช่องประตูเหล็ก ร้องตะโกนให้คนช่วย ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่า รีบเขย่าประตูเหล็กให้เกิดเสียงดังที่สุด เท่าที่ทำได้ พอไม่มีใครตอบกลับมา ทุกอย่างก็เงียบลง เสียงดัง ตึก ตึก ตึก ไล่หลังเราลงมาจนถึงชั้นล่าง เราทรุดตัวลงไปนั่ง หลังพิงประตูเหล็ก ทำอะไรไม่ถูก แล้วเงารางๆ ของร่างพยาบาล เอมนิการณ์ก็ค่อยๆโผล่ออกมาจาก ประตูหนีไฟ ในมือมีขวานอันใหญ่ ถืออยู่ เดินตรงดิ่งมาหาเรา หน้าตาบูดบึ้ง
ช่วงที่เรากำลังตั้งสติอยู่ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ดังขึ้นข้างๆ หลบไป เรามองไปก็เห็นเป็นพยาบาล ชลดา โผล่แต่หน้ามาข้างกำแพง พอเราหันไปมอง เอมนิการณ์อีกที เราก็เห็นขวานอันใหญ่ เหวี่ยงมาที่หัวเราอย่างแรงแล้ว จนเราแทบจะหลบไม่ทัน ได้แต่หลับตา พร้อมๆกับได้ยินเสียง ดัง ฉับ..
วินาทีนั้น ทุกอย่างเงียบลง ราวกับโลกหยุดหมุน ความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส พุ่งจี๊ดขึ้นมาที่หัวเรา จนแทบจะทนไม่ได้ เราร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บมากจริงๆค่ะ แสงสีขาว สว่างจ้าขึ้น เหมือนหัวเราเต็มไปด้วยไฟนิออน เรากรีดร้องออกมาจนสุดเสียง อย่างทรมานมากๆ ได้แต่เอามือกุมหัวตัวเองไว้ ด้วยอาการสั่นเทา แต่แล้วไม่นาน พอทุกอย่างเงียบลง แสงสว่างจ้านั้นก็ดับวับไป แล้วก็ได้ยินแต่เสียงหัวใจเราเต้น ตุ๊บ ตุ๊บ จนสักพัก เราก็ค่อยๆลืมตาขึ้น แสงสว่างในห้อง สาดเข้าตาเราอย่างจัง จนเราต้องค่อยๆหรี่ตาลง ข้างหน้าเรา เป็นเพดาน ที่เราไม่คุ้นเคย จนเราต้องหันไปมองรอบๆตัว แค่เอียงหัวไปนิดหน่อย เราก็รู้สึกเจ็บมากๆ จนต้องร้องโอ๊ยออกมา สายอะไรระโยงระยางเต็มรอบตัวเราไปหมด
ที่นี่ที่ไหน เราพูดออกมา ด้วยความ งง งวย ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา นอกจากเสียง ตี๊ด ตี๊ด ของเครื่องมือปฐมพยาบาลข้างๆ สักพัก มีคนเข้ามาในห้อง เห็นเราลืมตาอยู่ เขาก็พูดว่า อ้าว ตื่นแล้วหรือ แล้วก็เดินกลับออกไปเลย ประตูยังอ้าทิ้งไว้ สักพักก็ได้ยินเสียงพยาบาลคนนั้นแว่วๆ มาว่า คนไข้ฝื้นแล้วค่ะ เรา งง มาก จนหมอเดินเข้ามาดูอาการเรา เราก็เลยถามหมอไปว่า ผมเป็นอะไรครับหมอ หมอก็บอกว่า คุณพ้นขีดอันตรายแล้ว พักผ่อนก่อนนะ อย่าพึ่งกังวนอะไรมาก เรางงมาก อยากรู้มากๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น
จนช่วงสายๆ เพื่อนๆพยาบาลก็มาเยี่ยม พร้อมๆกับ พี่รูมเมท พี่รูมเมทก็เลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาก จนตกใจ เลยรีบลุกขึ้นมาดู พอเปิดเข้าไปดูในห้อง ปลุกยังไงก็ปลุกไม่ตื่น ก็เลยให้ ห้องข้างๆมาช่วยปลุก แต่ก็ไม่เป็นผล เลยสรุปกันว่า พาไปหาหมอดีกว่า พอไปหาหมอ หมอก็แจ้งว่า คนไข้มีอาการตัวเกร็ง เหมือนชัก หมอเลยเอ็กซเรย์สมองดู ปรากฏว่า พบเส้นเลือดฝอยในสมองแตก สุดท้ายหมอก็เลยต้องตัดสินใจผ่าตัดสมองด่วน พอผมได้ฟังก็ ได้แต่อึ้ง โห โชคดีมากๆเลย ขอบคุณมากเลยครับ พอพูดจบ พี่พยาบาลก็แซวขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าหมอเขาผ่าเอาต่อมกระเทยออกไปด้วยหรือเปล่านะ เห็นพูดครับ ทุกคำเลย แล้วก็หัวเราะกัน ผมก็เลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย แต่ก็หัวเราะแรงไม่ได้ มันเจ็บแผล
ไม่รู้ว่า วันนั้น หมอได้ผ่าตัดเอาต่อมกระเทยผมออกไปจริงหรือเปล่า แต่.. ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่รู้สึกอยากแต่งตัวเป็นหญิงอีกเลย เสื้อผ้าที่ผมเคยชอบใส่ก็ขนเอามาให้พี่ๆพยาบาลกัน ส่วนหมอตี๋ เขามาเยี่ยมผมตอนสองวันแรกพอเห็นผมพูด แมนเต็มร้อย แล้วก็ยังบอกหมอไปว่าผมไม่ได้ชอบผู้ชายแล้ว ตั้งแต่นั่นหมอตี๋ก็หายไปจากชีวิตผม
พอหายดีผมก็กลับมาทำงานตามปกติที่แผนก เรื่องวิญญาณของเอมนิการณ์ผมก็ไม่เคยเห็นอีกเลยนับจากการผ่าตัดครั้งนั้น
กระทั่งวันหนึ่ง กำลังจะไปทำงาน ช่วงเย็นๆ เดินผ่านใต้ตึกตึกหนึ่ง มองออกไปตรงลานข้างๆตึก ผมเห็น คนแก่ๆสองคนกำลังก้มๆเงยๆ นั่งๆยืนๆ มีคนคอยพยุง ก็เลยหยุดดู เห็นเหมือนเขากำลังจุดธูปไหว้อะไรกัน ผมก็เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ ได้ยินแต่ว่า อีหนูเอ้ย.. เตี่ยเอาอาหารที่ชอบ ขนมที่ลื้อเคยอยากกินมาให้นะ แล้วผมก็เห็นป้าแก่ๆนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มที่ดูเหมือนคนขับรถ มาพยุงสองคนลุกขึ้น ผมเลยเดินเข้าไปถามป้าแม่บ้านที่อยู่แถวนั้น ป้าเขามาทำอะไรกัน ป้าก็บอกว่า เขามาเส้นไหว้ลูกสาวเขา ผมก็เลยถามไป อ้าวหรือ ลูกสาวป่วย เสียชีวิตที่นี่หรือป้า ป้าแม่บ้านก็บอกว่า เปล่า เคยเป็นพยาบาลอยู่ที่นี่แหละ เมื่อปีที่แล้ว โดกตึกลงมาเสียชีวิต แถวตรงนี้ หา .. จริงหรือป้า ป้าแกก็ทำท่า บรึ๋ย ไม่อยากพูด ผมก็เลยถามแกไปว่า แล้วป้ารู้ไหม พยาบาลคนนั้นชื่ออะไร ป้าแกก็ตอบมาว่า เห็นเขาเรียกกัน ชลดา ชลดา นี่หละ จบบริบูรณ์
ขอบคุณสมาชิกหมายเลข 2227735 https://pantip.com/topic/39623696