สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น และสิ่งที่เป็น อาจไม่ได้เกิดจากคนเป็น ….อย่าเชื่อ จนกว่าจะเช้า ชีวิตของผมกับการเดินทางมันคงแยกกันไม่ออกเสียแล้ว ผมเดินทางมาถึง บขส.จังหวัดสุโขทัยตามเวลาที่คาดไว้ อาจล่าช้าไปบ้างแต่ไม่เกิน 30 นาที ถือว่ารับได้ตามมาตรฐานการเดินทางในประเทศไทย แสงแดดของฤดูร้อนปลายเดือนเมษายนยังทำหน้าที่ให้ความร้อนอย่างดี แม้เวลานี้จะเลยสี่โมงเย็นไปแล้วก็ตาม เป้สัมภาระถูกสะพายขึ้นหลัง คนขับสามล้อรับจ้างที่ท่ารถสี่ห้าคนเข้ามาสอบถามเรื่องการต่อรถด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงพร้อมให้บริการโดยไม่ต้องร้องเรียก
“ไปไหนครับ สามล้อมั๊ย ?” ชายวัยเลยห้าสิบถามผมด้วยสำเนียงคน’โขทัย โดยแท้
“ไปโรงแรม …..” ผมบอกจุดหมาย
“ร้อยเดียว”
“โห ลดได้มั๊ยลุง”
“จากนี่ไปอีกตั้งสิบโลนะ เกือบถึงเมืองเก่าโน่นแหละ”
ความจริงผมพอจะรู้ที่ตั้งและข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่จะไปพักมาบ้างแล้วจากอินเตอร์เน็ต เพียงแต่ไม่คิดว่าจะอยู่ออกไปจากนอกเมืองขนาดนี้ ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ลุงเจ้าของรถเดินนำไปขึ้นรถทันที
ไม่เกิน 20 นาที ผมก็เดินทางมาถึงหน้าที่พัก ความจริงแล้วผมอยากพักในเมืองมากกว่า การเดินทางก็สะดวกสบาย อยู่ใกล้ตลาดหาของกินได้ง่าย แต่ที่ต้องมาพักที่โรงแรมนี้เพราะว่าพรุ่งนี้มีการจัดงานอบรมที่นี่ และอีกอย่างผู้ประสานงานก็จองห้องพักไว้เรียบร้อยแล้ว จะปฏิเสธก็เกรงใจ
ที่นี่เป็นโรงแรมใหญ่ของจังหวัดทีเดียว และดูท่าทางจะเปิดบริการมานานแล้วด้วย หากแต่ความใหญ่โตของโรงแรมมันสวนทางกับบรรยากาศที่ควรจะมีแขกเข้าพักอย่างคึกคัก โดยเฉพาะช่วงเย็นของวันศุกร์ปลายเดือน มีรถจอดอยู่ที่ลานจอดไม่เกิน 10 คัน ไม่มีพนักงานต้อนรับมายกกระเป๋าเหมือนโรงแรมใหญ่ที่อื่น ผมเดินเข้าไปที่หน้าเคาท์เตอร์บริการของโรงแรมที่ทำด้วยไม้สักบิวท์อินขนาดใหญ่สวยคลาสสิค ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมอยู่จึงกดกริ่งที่เคาท์เตอร์อยู่สองสามครั้ง หญิงสาววัยไม่เกินสามสิบเดินออกมาจากห้องด้านหลังเคาท์เตอร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับเบื่องานที่ต้องทำจำเจทุกวัน
“สวัสดีค่ะ”
ผมแจ้งชื่อที่โทรมาจองไว้ เธอก้มหน้าตรวจสอบข้อมูลเพียงครู่ก็ให้ผมเซ็นชื่อลงทะเบียนเข้าพัก
“ทำไมเงียบจังครับน้อง ไม่ค่อยมีแขกเข้าพักเหรอ” ผมชวนคุยพร้อมกับมือที่กำลังกรอกเบอร์โทรศัพท์
“หลังสงกรานต์ก็อย่างนี้แหละค่ะเงียบๆหน่อย ถ้าอยากคึกคักพี่มาช่วงลอยกระทงสิค่ะ ห้องจะเต็มหมดค่ะ”
“เอ่อ พี่มาทำงาน เลือกไม่ได้อ่ะน้อง”
ผมรับกุญแจห้องพักเบอร์ 2234 พร้อมคูปองอาหารเช้า
“อาหารเช้าเริ่มหกโมงเช้าค่ะ ห้องพักอยู่ตึกสองด้านหลังนะคะ” เธอพูดพร้อมผายมือบอกทาง
ผมเดินไปตามทางที่เธอบอก ซึ่งระหว่างทางเดินไปตึกที่สองก็มีป้ายบอกทางเป็นระยะ น่าแปลกที่ว่า ตั้งแต่ผมเข้ามาในโรงแรมนอกจากรีเซปชั่นสาวที่เคาท์เตอร์แล้ว ผมยังไม่เห็นใครอีกเลย ทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรมและแขกที่เข้าพัก
ตึกพักของที่นี่มีเพียงห้าชั้นไม่เน้นที่ความสูงของตัวตึก แต่พื้นที่ของโรงแรมกว้างขวาง โดยตึกทั้งสองมีทางเดินเชื่อมถึงกัน มีสวนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางดูร่มรื่น แต่ในยามเย็นเช่นนี้มันทำให้บรรยากาศดูทึบแสงพอควร ติดกันมี ”สนามเด็กเล่น” เล็กๆน่าจะมีไว้ให้บริการเด็กๆซึ่งเป็นลูกหลานของแขกที่มาพัก มีเครื่องเล่นอยู่สามสี่อย่าง ทั้งชิงช้า กระดานลื่น และกระดานหก ดูจากสภาพที่เห็นแล้วคงไม่มีเด็กมาเล่นนานพอดูเพราะทั้งเก่า และชำรุด หากแต่ชิงช้ายังแกว่งอยู่เบาๆ
อีกฝั่งเป็นสระว่ายน้ำกว้าง น้ำนิ่งสนิทไม่มีคนใช้บริการ ผมเดินผ่านห้องอาหาร เห็นพนักงานชายยืนเช็ดจานอยู่ด้านในเงียบๆคนเดียว ผ่านห้องประชุมเล็ก ติดกันเป็นบันไดขึ้นไปชั้นบน ห้องพักทุกห้องจะหันหน้าเข้าหาสวน ด้านหลังของตัวตึกเป็นพื้นที่ของลานจอดรถอีกส่วนหนึ่ง
‘อย่างนี้ก็เงียบดีเหมือนกัน ไม่วุ่นวาย’ ผมหาเหตุผลดีๆในความคิด
ขึ้นชั้นสองผมเดินไปจนเกือบสุดทางเดินของตัวตึกจึงพบกับห้องพักของตนเอง ถัดไปอีกสองห้องก็เป็นบันไดทางลงอีกด้านแล้ว ยังนึกตำหนิคนจัดห้องให้ผมว่าแขกก็ไม่มีพักทำไมจัดห้องให้ผมไกลขนาดนี้ บรรยากาศห้าโมงเย็นกว่าๆมันก็เงียบสงบดี แต่ยิ่งเย็นค่ำลงเท่าไรมันก็ยิ่งวังเวงมากขึ้นเท่านั้น…
ก่อนที่ผมจะเดินถึงหน้าห้องพักไม่เกินสิบเมตร ก็ได้ยินเสียงเหมือนโลหะเล็กๆหลายๆอันกระทบกัน เเกร็ก…แกร็ก…แกร็ก… มันดังเป็นจังหวะ มาจากฝั่งตรงข้าม
ผมเดินถึงหน้าห้องพักและก่อนที่จะไขกุญแจเข้าห้อง ปรากฏที่มาของเสียงนั่นคือพวงกุญแจห้องพักสำรองของโรงแรมที่ห้อยอยู่ที่ข้างเอวของหญิงวัยใกล้เกษียณที่เดินขึ้นมาจากบันได เสียงมันดังตามจังหวะการเดิน ดูจากชุดที่สวมใส่ ไม้กวาดและผ้าเช็ดทำความสะอาดที่อยู่ในมือ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นแม่บ้านของโรงแรมนั้นเอง แม่บ้านคนนี้เป็นคนที่สามที่ผมเจอในโรงแรม
“ป้า ยังไม่เลิกงานอีกหรือ..?” ผมชวนคุยในขณะที่มือยังจับลูกบิดประตูอยู่
“เข้ากะดึกจ้ะคุณ” เธอตอบมาด้วยสำเนียงพื้นถิ่น สลับกับเสียงไอโขลก สีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความสุภาพและพร้อมให้บริการ ผิดกับหน้าตาที่ดูซูบซีดกว่าควรจะเป็น เหมือนคนป่วย
“มีอะไรให้ช่วยไหมจ๊ะ”
“ครัวเปิดถึงกี่โมงครับ”
ผมสอบถามข้อมูลไว้ก่อนเพราะว่าจะออกไปหาข้าวเย็นกินข้างนอก ก็ห่างไกลจากร้านค้าในตัวเมืองเหลือเกิน จะเรียกสามล้อมไปก็ไม่มีให้บริการที่หน้าโรงแรม ไหนจะค่าสามล้อไปกลับก็สองร้อยเห็นจะได้ กินในโรงแรมเอาแล้วกัน
“ห้าทุ่มจ้ะ เชิญได้เลยนะ มีอะไรก็บอกป้าจวนได้นะ ป้าอยู่ประจำตึกนี้จ้ะ”
ผมเหลือบดูป้ายชื่อพนักงานที่ติดอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ ระบุชื่อ ‘ลำจวน’ ชัดเจน
“ขอบคุณครับป้า” ผมเข้าห้อง ปิดประตู ยังได้ยินเสียงไอจนหอบของป้าอยู่นอกห้อง
ข้าวยังไม่หิว นอนดูทีวีไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยมาจนทุ่มเศษ บรรยากาศนอกห้องพักมืดลงแล้วตามเวลาโลก มีเพียงแสงไฟตามทางเดินของโรงแรมและบริเวณสวนเท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่สลัวราง น้อยกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากเสียงทีวีในห้องพักแล้วเหมือนทุกอย่างในโรงแรมขนาดใหญ่แห่งนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
พลันผมได้ยินเสียงของเด็กเล็กพูดคุยปนกับเสียงหัวเราะหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน จากเสียงที่เพียงแว่ว ค่อยๆชัดและดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับดังมาจากตรงบันไดข้างตึกและกำลังเดินผ่านหน้าห้องพัก น่าจะประมาณสองสามคนได้ ผมลุกจากเตียงหยิบกุญแจห้องที่เสียบคาช่องเสียบที่หน้าห้องน้ำ เปิดประตูเพื่อจะลงไปกินข้าว แต่หน้าห้องว่างเปล่า ไม่มีเด็กๆ เจ้าของเสียงที่ผมได้ยิน เป็นไปได้หรือไม่ว่าผมหูฝาดไปเท่านั้น หรือว่าเด็กๆอาจจะพักอยู่ห้องที่ติดกับผม และเข้าห้องไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูหรือว่า…เสียงที่ผมได้ยินมันไม่ได้มาจากมนุษย์ ผมยังยืนนิ่ง บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท มันเงียบจนผมรู้สึกกลัว และแล้ว เเกร็ก…แกร็ก…แกร็ก…เสียงเดิม ดังมาจากมุมเดิม และเป็นคนเดิมที่เดินมา แม่บ้านของโรงแรม
“ป้า ป้าเห็นเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า” ผมถามทันที
“ไม่เห็นจ่ะ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหลอกครับ ผมได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นอยู่หน้าห้อง แต่พอผมออกมาไม่เห็นมีใครอยู่ เลยถามดูน่ะป้า”
“อ๋อ คงเป็นลูกๆของพนักงานที่นี่แหละ พ่อแม่มาทำงาน ที่บ้านไม่มีคนเลี้ยงเลยเอาลูกมาด้วย รบกวนคุณหรือเปล่า เดี๋ยวป้าจะบอกให้” เธอตอบมาโดยที่ไม่สบตาผม เหมือนไม่อยากตอบหรือต้องการจะปิดบังบางอย่างเอาไว้
“ไม่เป็นไรครับ” ผมพูดเสร็จก็หันหลังเดินเพื่อจะไปที่ห้องอาหาร… ยังได้ยินเสียงไอของป้าอยู่ด้านหลัง
พอสุดทางที่ต้องลงบันไดไปชั้น 1 ผมสะดุ้งวาบกับภาพตรงหน้า !!! เด็กสามคนนั่งหันหลังอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายของช่วงพักระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ผู้ชายสองคนผู้หญิงหนึ่งคน อายุน่าจะห้าหกขวบไล่เลี่ยกัน กำลังพูดคุยหัวเราะสนุกสนาน ผมหยุดอยู่ตรงนั้นไม่กล้าเดินต่อ เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ยั้งค้างอยู่ในใจเมื่อครู่
ทันทีที่ผมหยุดนิ่ง เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของเด็กที่อยู่ตรงหน้าก็เงียบนิ่งเช่นกัน เหมือนนัดกันไว้อย่างพร้อมเพรียง แล้วร่างทั้งสามที่ผมเห็นเพียงหลังที่อยู่ถัดไปไม่กี่ขั้นบันได ก็ค่อยๆหันกลับมาอย่างช้าๆ ช้าๆ ช้าๆ ใบหน้านิ่งเงียบไร้ความรู้สึก ผมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดกับเพื่อนๆในทันทีว่า…
“ไปเร็ว เดี๋ยวผียายจวนมาหลอกเอา”
แล้วก็พากันลุกวิ่งลงบันไดไปชั้นล่างทันที ทันทีเช่นกัน ผมหันไปมองป้าแม่บ้านที่คุยกันอยู่ตรงหน้าห้องพักเมื่อครู่ ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น หากแต่ยังได้ยินเสียง เเกร็ก…แกร็ก…แกร็ก…เป็นจังหวะ แต่คราวนี้ผมไม่รู้ว่าเสียงมันดังมาจากทางไหน ขนแขนตั้งชันโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนถูกทิ้งอยู่ในที่ห่างไกลไร้ผู้คน มันรู้สึกกลัวและสับสนอย่างบอกไม่ถูก จะเดินกลับเข้าห้องพักตอนนี้ก็รู้สึกว่าไกลเหลือเกิน มองกลับไปก็เห็นช่องของบันไดทางลงอีกฝั่งที่ไม่มีแสงไฟให้เห็นในยามนี้ มันมืดเหมือนไม่ใช่ทางสัญจรของคน
ถ้าไม่ไปกินข้าวคืนนี้คงต้องนอนหิวทั้งคืน ผมตัดสินใจรีบเดินลงไปชั้นล่างเพื่อตรงไปที่ห้องอาหารที่เดินผ่านมาเมื่อเย็นนี้ทันที หวังในใจว่าน่าจะเจอแขกของโรงแรมคนอื่นบ้าง หรืออย่างน้อยก็ต้องเจอเจ้าหน้าที่โรงแรมในห้องอาหารแน่นอน
ก่อนถึงห้องอาหารผมยังเจอเด็กสามคนวิ่งเล่นอยู่แถวนั้น เอาวะ เพื่อขจัดความแคลงใจ ว่าเด็กคือคน แล้วยายจวนคือใคร ผมเอ่ยปากเรียกเด็กๆ อย่างกลัวปนกล้า
“หนูๆ” เด็กๆ หยุดเล่นแล้วหันมาพร้อมกัน
“พี่ขอถามอะไรหน่อย… ที่ว่ายายจวน ยายจวน หรือผียายจวนน่ะ คืออะไรเหรอ ?” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น ด้วยสีหน้าตื่นเต้น น้ำเสียงสมวัยเด็ก
“ก็ผียายจวนไง !!! แกเป็นแม่บ้านที่นี่” ผมนิ่งอึ้ง ใจหายวาบ
แล้วเด็กผู้หญิงก็พูดต่อมาว่า “แม่หนูบอกว่าไม่ให้มาวิ่งเล่นแถวนี้คนเดียว เดี๋ยวโดนผียายจวนจับหักคอเอา”
“ไปเร็ว เดี๋ยวผียายจวนมาหักคอเอา” แล้วเด็กๆ ก็พากันวิ่งไปทางตึกหน้าของโรงแรม
ผมยังนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกตรึง หน้าแม่บ้านของโรงแรมนาม “ลำจวน” ลอยเข้ามาในความคิด ‘แม่บ้านต้องเข้าทำงานกะดึกด้วยหรือ ?’ ‘เด็กๆ วัยไร้เดียงสาไม่น่าจะหลอกเรา เพราะเป็นสิ่งที่เขาพูดออกมาในครั้งแรกก่อนเราถามในครั้งนี้ด้วยซ้ำ ?’ ‘หรือว่าแม่บ้านที่เราเจอ ไม่ใช่คน’ ‘เฮ้ย !! ยังไม่สองทุ่มเลย เฮี้ยนขนาดนี้เลยหรือวะ’ ผมนึกสงสัยอยู่ในใจที่เต้นอยู่โครมๆ ยังไม่ทันที่จะได้คิดสิ่งอื่นใดต่อไป ก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในความเงียบ เเกร็ก…แกร็ก…แกร็ก… พร้อมกับเสียงไอที่ดังอยู่โขลกขลาก มันดังมาจากชั้นสองและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกำลังจะลงมาชั้นหนึ่งใกล้กับจุดที่ผมยืนอยู่ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไปที่ห้องอาหารทันที
ประตูห้องอาหารถูกเปิดโดยไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่มาบริการ อากาศในห้องเย็นเฉียบ ผิดกับด้านนอกเหมือนอยู่คนละโลก โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดไว้พร้อมต้อนรับอย่างเป็นระเบียบ มีเวทีเล็กอยู่มุมหนึ่งด้านหน้าห้องพร้อมอุปกรณ์ร้องคาราโอเกะ แสงสว่างในห้องไม่มากนัก จนเกือบมืดเลยทีเดียว นั่นคงเป็นเพราะห้องอาหารของโรงแรมใหญ่ๆ ทั่วไป ในช่วงค่ำคืนจะเปิดเป็นผับด้วยนั่นเอง คงเป็นเรื่องปรกติ ผมเดา หากแต่มันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนเสียขวัญเมื่อครู่ดีขึ้นมาได้เลย เพราะในนี้เหมือนร้างผู้คน
ผมยืนเก้ๆกังๆ อยู่สักครู่ก็มีเจ้าหน้าที่บริการของโรงแรมเดินออกมาจากหลังเคาท์เตอร์ ซึ่งน่าจะเป็นทางเดินเข้าห้องครัวอีกที
“รับอะไรดีครับ” บริกรหนุ่มถามด้วยความสุภาพ
ผมสั่งอาหารจานเดียวง่ายๆ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะหนึ่งใกล้เคาท์เตอร์ สาเหตุที่เลือกโต๊ะนี้นะหรือ ฮึ! มันดูสว่างที่สุดแล้วเพราะใกล้โคมไฟ แล้วไอ้หนุ่มบริกรก็ยืนจัดโน่นจัดนี่อยู่ตรงนั้นด้วย ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้
หลังจากรับออเดอร์แล้วเอาไปส่งในครัว เจ้าหน้าที่ของโรงแรมหนึ่งเดียวในห้องนี้ก็เอาน้ำมาเสิร์ฟ แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า
“ดูเหมือนพี่ไม่ค่อยสบายหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมลดแอร์ให้ หรือจะเอายาลดไข้ที่โรงแรมก็มีนะครับ”
อาการของผมคงเหมือนคนไม่สบายจริงๆ
“อ๋อ ไม่เป็นไรน้อง ขอบใจมาก พี่แค่ตกในอะไรนิดหน่อย” (จริงๆตกใจหนักมาก ถึงมากที่สุด)
“มีเรื่องอะไรบอกผมได้นะครับ หรือต้องการอะไรเพิ่มเติมแจ้งได้เลยครับ ผมชื่อกิจ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการห้องอาหารที่นี่ครับ”
ผมดูป้ายชื่อ ‘ธงกิจ’ ตรงตามที่เขาบอก
ระหว่างรออาหาร ลองถามดูคงไม่เสียหาย ถ้าเรื่องที่เราสงสัยไม่เป็นอย่างที่คิดจะได้สบายใจ อีกอย่างจะได้มีเพื่อนคุยด้วย บอกตรงๆ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมจึงเล่าเรื่องที่เจอมาเมื่อครู่ให้ธงกิจฟัง
หลังจากบริกรหนุ่มฟังจนจบ ดูสีหน้าของเขาไม่แปลกใจกับเรื่องราวที่ออกมาจากผมเลย
“เรื่องแบบนี้แขกเจอกันหลายคนครับ ผมจะบอกคุณพี่อย่างไม่ปิดบังเลยนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย อยู่ในอาการสุภาพ
ผมยังนึกในใจว่า ไม่คิดจะปกปิดเรื่องแบบนี้กับแขกที่มาพักบ้างหรือ เพราะยังไงเขาก็เป็นคนของโรงแรมนี้ แต่ก็ช่างเถอะ แล้วธงกิจ ก็เริ่มพูดด้วยสำเสียงนิ่งเนิบ เหมือนเคยพูดมาแล้วหลายครั้ง เขาเล่าว่า….
“เรื่องที่เด็กเล่าให้คุณพี่ฟังเป็นเรื่องจริงครับ!!!”
แค่คำพูดประโยคแรกก็ทำให้ผมช็อคอีกครั้ง ผมนิ่งฟังอ้าปากค้าง
“ป้าจวนที่คุณพี่เจอน่ะ แกเป็นแม่บ้านของโรงแรม แกป่วยออดๆแอดๆมานานแล้วครับ น่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับปอด ผมก็พูดไม่ถูกว่าชื่อโรคอะไร แกไอติดต่อกันมาหลายเดือน จนมาช่วงท้ายๆก่อนแกจะตายแกไอหนักมาก”
ผมฟังมาถึงตอนนี้ เสียงไอที่เคยได้ยินก็แว่วเข้ามาในความคิด มันยิ่งเพิ่มดีกรีความกลัวขึ้นไปอีก
“จนช่วงหลังป้าจวนแกต้องออกไปรักษาตัว ไม่นานก็ตาย แต่แกก็ยังมาทำงานให้แขกเห็นบ่อยๆ ไม่รู้จะมาทำไม ฮึๆ” ธงกิจจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก เหมือนไม่ยี่หระกับเรื่องที่เกิด แม้จะมองเห็นไม่ชัดเจนแต่ผมรู้สึกได้ ผิดกับความรู้สึกของผมตอนนี้ที่แม้จะยิ้มยังยากในความรู้สึก
“แสดงว่าแม่บ้านที่พี่คุยด้วยคือ” ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ
“ไม่มีใครอีกแล้วครับคุณพี่ พี่ ”โดน” แล้วหล่ะ” เขาพูดมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แต่มีอีกเรื่องนะครับที่พี่น่าจะยังไม่รู้”
ผมเงยหน้ามองคนพูด เพื่อรอประโยคต่อไป ขณะที่มือจับแก้วน้ำกำลังจะยกขึ้นดื่ม
“ที่โรงแรมนี้ ไม่มีเด็กมาวิ่งเล่นนะครับ”
ผมวางแก้วน้ำลงด้วยมือที่สั่นเทาเกินกว่าจะถือ ฟังต่อด้วยอาการตัวแข็งค้างเหมือนถูกสาป ธงกิจหันไปมองที่เคาท์เตอร์เพื่อดูว่าอาหารที่ผมสั่งเสร็จหรือยัง แล้วหันมาเล่าต่อเหมือนเป็นเรื่องปรกติว่า
“เมื่อไม่นานมานี้ มีลูกๆของเจ้าหน้าที่โรงแรมนี่เหละครับ มาวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่น แล้วก็บนตึกพักของโรงแรมด้วยตามประสาเด็กแหละครับ แล้วมีเด็กสามคนแอบไปเล่นน้ำในสระตอนค่ำ พ่อแม่ก็ไม่รู้ ไม่มีใครเห็นคงจะเล่นเกินเลยไปในสระของผู้ใหญ่ก็เลยจมน้ำตายกันทั้งสามคน กว่าจะมาเจอกันก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วครับ”
ฟังมาถึงตรงนี้ผมรู้สึกหนาวจนสั่น แม้แอร์จะถูกปรับอุณหภูมิไปแล้วก็ตาม
“ตั้งแต่นั้นมา เจ้าของโรงแรมเขาก็เลยสั่งห้ามไม่ให้ลูกหลานของเจ้าหน้าที่โรงแรมมาวุ่นวายแถวนี้อย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้อีก แล้วก็จะได้ไม่รบกวนแขกที่มาพักด้วยครับ ถ้าอย่างนี้เป็นไปไม่ได้เลยครับที่จะมีเด็กมาวิ่งเล่นแถวนี้ แล้ววันนี้ก็ไม่มีเด็กเข้าพักที่โรงแรมด้วยครับ ผมว่าเด็กๆที่คุณพี่เจอน่าจะไม่ใช่คนนะครับ”
‘เฮ้ย นี่มาที่เดียวกูเจอเบิ้ลเลยเหรอ’ ผมนึกในใจ หลังจากจบประโยค ธงกิจเดินเข้าไปในครัวเพื่อจะเอาอาหารมาเสิร์ฟ ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวในบรรยากาศที่สุดวังเวง แม้จะเป็นเวลาไม่กี่นาที แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน
ผมจัดการกับอาหารตรงหน้าจนหมดด้วยความรวดเร็ว แม้ความหิวจะถูกความกลัวเข้ามาแทนทีแล้วก็ตาม สายตายังเหลือบมองไปรอบห้องเป็นระยะเพราะความระแวงกลัว บริกรหนุ่มยังคงยืนทำงานของตนเองอยู่เงียบๆ ไม่ไกลนัก
หลังกินอาหารเสร็จ ผมบอกเบอร์ห้องพักกับธงกิจเพื่อให้คิดค่าอาหาร แล้วผมจะจ่ายพร้อมค่าห้องตอนเช็คเอาท์ในวันพรุ่งนี้ เขาเอาบิลให้ผมเซ็นต์ ขอบคุณอย่างสุภาพพร้อมกับเดินไปเปิดประตูให้ ก่อนออกไปผมหันไปถามเขาอีกครั้ง
“น้อง ปรกติเรื่องแบบนี้คนของโรงแรมจะไม่เล่าให้แขกฟัง พี่ถามจริงๆ น้องไม่กลัวแขกหนีหมดเหรอ”
คราวนี้ธงกิจพูดด้วยแววกังกล
“จริงๆ ผมก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้กับใครหลอกครับ แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทางเจ้าของโรงแรมเขาก็ไมได้ทำอะไรเลย แม้แต่ทำบุญให้ พวกเขาก็เลยไม่ไปไหน ผมเลยคิดว่า ถ้ามีคนรู้เรืองนี้เยอะๆ เจ้าของโรงแรมเขาก็น่าจะทำอะไรให้มันดีขึ้นมาบ้างครับ”
ผมพยักหน้าแทนความเข้าใจ ไม่พูดอะไรแล้วเดินออกมา
ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเศษ ผมต้องเดินกลับทางเดิม ซึ่งความรู้สึกกลัวในตอนนี้มันทวีคูณกว่าตอนขามามากนัก ผมก้มหน้าก้มตาสาวเท้าด้วยความเร็ว บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท มีเพียงเสียงรองเท้าที่กระทบกระเบื้องปูพื้นทางเดินเท่านั้นที่ดังอยู่เป็นเพื่อน มือล้วงกุญแจห้องพักที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเพื่อเตรียมพร้อม เมื่อขึ้นบันไดมาถึงชั้นสอง ห้องยังอยู่เกือบสุดทางเดิน ทันใดนั้น เเกร็ก…แกร็ก…แกร็ก…พร้อมกับเสียงไอโขลกขลาก ดังมาจากบันไดฝั่งตรงข้าม ยังไม่เห็นใคร ผมหยุดนิ่งฟังด้วยใจที่เต้นระทึกเสียงนั้นกำลังใกล้เข้ามา ผมตัดสินใจจะหันหลังวิ่งกลับ หากแต่ก่อนที่จะก้าวขาออกไปนั้น พลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของกลุ่มเด็กดังมาจากตีนบันใดชั้นหนึ่ง ถ้ากลับ เจอผีเด็ก ถ้าไปต่อ เจอผียายจวน
ตอนนี้เหงื่อแตกเต็มหน้าเป็นเม็ดๆ ผมตัดสินใจวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อจะเข้าห้องให้ได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผมวิ่งเข้าหาต้นเสียงของยายจวนที่อยู่อีกฝั่ง เสียงเด็กยังอยู่ข้างหลัง เสียงไอยังดังอยู่เบื้องหน้า ทันทีที่วิ่งถึงหน้าห้องผมรีบไขกุญแจด้วยสองมือที่สั่นแรง หันซ้ายหันขวามองทั้งสองฝั่งของทางเดิน เสียงไอและเสียง แกร็ก แกร็ก ของพวงกุญแจยังได้ยินชัด บวกกับเสียงตัวเองตะโกนก้องอยู่ในหัว ‘ทำไมยังไขไม่ได้สักทีวะ’ ยิ่งกว่านั้น ผมเริ่มเห็นหัวดำๆ ของต้นเสียงโผล่มาแล้วตามความสูงของขั้นบันได…
ใบหน้าของยายจวนพ้นบันไดขั้นสุดท้ายมาแล้วจนเห็นชัด สายตามองตรงมาที่ผม พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “คุณจ๊ะ” เหมือนพระเจ้ายังพอมีน้ำใจอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นประตูห้องพักก็เปิดโอกาสสุดท้ายให้ผมได้เข้าไป ผมใช้โอกาสนี้อย่างรวดเร็วที่สุด ปิดประตูดังโครมล็อคกลอนทุกตัวที่มีอยู่ เมื่อเข้ามาในห้องพัก ทุกอย่างเงียบสนิท และมืดมิดจนมองอะไรไม่เห็น มีเพียงแสงไฟจากภายนอกเท่านั้นที่ลอดเข้ามาที่ขอบประตูด้านล้างจนมองเห็นเป็นเส้น ถ้าไม่ได้เสียบการ์ดที่กุญแจเข้าที่ช่องเสียบ ระบบไฟในห้องก็จะไม่ทำงาน
‘ตายห่าน..กุญแจยังเสียบคาอยู่ที่หน้าห้อง!!! เวรเอ้ย ซวยอะไรอย่างนี้’ ผมนึกในใจ ไม่กล้าเสียงเสียงอะไรทั้งสิ้น เหมือนอยากจะซ่อนตัวจากความกลัวที่ถาโถมอยู่ด้านนอก
ในห้องยังมืด และทุกอย่างยังเงียบ แล้วสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็นเพียงความฝันก็เกิดขึ้น ที่หน้าห้อง ใครคนหนึ่งกำลังเดินมา นอกจากเสียงเดินที่พอได้ยินแล้ว สิ่งที่ยืนยันชัดคือเงาของขาทั้งสองที่บังแสงไฟที่ลอดขอบประตูเข้ามา แล้วเงานั้นมันก็หยุดที่หน้าห้อง
ในห้องยังมืด และทุกอย่างยังเงียบ มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นถี่และเสียงหายใจหอบของผมเพราะความกลัวเท่านั้น เสียงดัง ก๊อก…..ก๊อก….ก๊อก….. ผมสะดุ้งสุดตัว ทั้งสองมือยกขึ้นปิดปากแน่น อะไรก็ตามที่อยู่ข้างนอกห่างกันเพียงประตูกัน มันเคาะ…ประตู….พร้อมกันนั้น ผมยังได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กที่อยู่ด้านนอก หากแต่เวลานี้น้ำเสียงปนไปด้วยความเย้ยหยันและสนุกใจ ผมกระโดดขึ้นเตียงคลุมโปงแน่น มือทั้งสองข้างอุดหู และอยู่ในสภาพนั้นจนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไร…
ในห้องยังมืด และทุกอย่างยังเงียบ นอกห้องก็เช่นกัน ตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชกโดยไม่ต้องออกกำลังกาย นั่นเพราะความกลัวและอยู่ใต้ผ้าห่มหนาเป็นเวลานานโดยที่ไม่ได้เปิดแอร์ มือค่อยๆล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง เพื่อกดเปิดพอให้มีแสงบ้าง ผ้าห่มที่คลุมตัวถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ตอนนี้มีเพียงแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่น้อยนิดเท่านั้นที่พอทำให้เห็นอะไรได้บ้าง ผมค่อยๆหันหน้าจอโทรศัพท์ไปรอบๆเพื่อหาโทรศัพท์ของโรงแรม ซึ่งโดยปรกติถ้าไม่อยู่หัวเตียง ก็อยู่แถวๆโต๊ะวางทีวี ตั้งใจจะโทรหาเจ้าหน้าที่โรงแรมที่ฟร้อน
ไฟหน้าจอมือถือดับ ตามเวลาของระบบที่ตั้งไว้ พร้อมกัน เสียงโทรศัพท์ของโรงแรม ก็ดังจนลั่นห้อง กริ๊งๆๆๆๆ ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะความตกใจ กดเปิดไฟที่มือถืออีกครั้งอย่างลนลาน มันดังอยู่สามสี่ครั้งโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถ้าผมไม่รับผมคงต้องตายเพราะเสียงนี้แน่ ผมตัดสินใจเอื้อมมือที่สั่นไปหยิบหูโทรศัพท์แล้วยกขึ้นฟัง แล้วเสียงจากปลายสายก็พูดว่า…..
“คุณพี่คะ จากฟร้อนนะคะ”
เสียงที่ได้ยินทำให้ผมใจชื้นขึ้นมามาก อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในสถานที่แห่งนี้
“คะ..คะ..ครับ” ผมพยายามทำเสียงให้ปรกติที่สุด
เธอพูดต่อ “คุณพี่เสียบกุญแจลืมไว้ที่หน้าห้องค่ะ เพื่อความปลอดภัย หนูว่าคุณพี่เก็บกุญแจไว้ในห้องดีกว่านะคะ”
“อ๋อ…ครับๆ”
“ขอบคุณค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” แล้วเธอก็วางสาย หลังจากทิ้งโจทย์สุดท้ายไว้ให้ผมแก้
ผมคิดว่าถ้าปล่อยให้กุญแจมันคาอยู่อย่างนั้นจนเช้าน่าจะปลอดภัยกับชีวิตและสภาพจิตใจของผมมากกว่า เพราะถึงแม้จะมีกุญแจเสียบคาอยู่ก็ไม่มีใครเข้ามาได้เพราะผมล็อคกลอนและสายยูไว้แล้ว
แต่….หากปล่อยไว้อย่างนี้ นอกจากความไม่สบายใจแล้ว ผมต้องอยู่ในห้องนี้โดยที่ไม่มีแสงสว่างและเปิดแอร์ไม่ได้
ในห้องยังมืด และทุกอย่างกลับมาเงียบดังเดิม ภาระกิจการเก็บกู้กุญแจจากหน้าห้องพักจึงเริ่มขึ้น หน้าจอมือถือบอกเวลา 21.42 นาที ผมส่องไฟไปทางประตู ค่อยๆเดินอย่างกล้าๆกลัวๆ ตัวล็อคถูกปลดออกทีละตัวจนครบ มือค่อยๆแง้มขณะที่เท้าข้างหนึ่งยันไว้ที่บานประตูด้านล่าง ‘ถ้ามือไม่ทัน ตีนก็น่าจะช่วยได้’ ผมคิด ไม่แม้แต่จะชะโงกหน้าออกไป
ผมแง้มประตูมาเพียงคืบพอให้มือลอดออกไปได้เท่านั้น แล้วรีบคว้ากุญแจที่เสียบคาอยู่ติดมือเข้ามาทันที ปิดประตูแล้วล็อคด้วยความแน่นหนาดังเดิม ทำเหมือนกับว่ามันจะช่วยป้องกันภูตผีจากภายนอกได้อย่างนั้น การ์ดของกุญแจถูกเสียบเข้าที่ ไฟในห้องพักสว่างพรึบ บรรเทาความกลัวและเพิ่มความอุ่นใจได้ไม่น้อย
ผมรีบอาบน้ำด้วยความรวดเร็ว สวดมนต์ไหว้พระแล้วเข้านอน โดยหวังว่าจะผ่านค่ำคืนนี้ไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก คืนนี้ผมอนุญาตให้ไฟทุกดวงในห้องได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสุดกำลัง ทีวีถูกเปิดไว้ในช่องรายการบันเทิง ผมไม่ได้อยากดูเนื้อหาแต่ผมต้องการเพื่อน พลิกตัวอยู่หลายครั้ง สุดท้ายความเพลียจากการเดินทางทั้งวันนี้ก็เป็นตัวช่วยชั้นดีให้ผมหลับลงได้
บรรยากาศยามเช้าตรงข้ามกับเมื่อคืนนี้โดยสิ้น อากาศที่สดชื่นของต่างจังหวัดทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย แม้เมื่อคืนจะหลับไม่ค่อยสนิทก็ตาม หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ผมออกจากห้องเพื่อที่จะไปเช็คเอาท์ ทานอาหารเช้า แล้วค่อยไปที่ห้องประชุม เดินกลับทางเดิมกับที่มาเมื่อวาน แต่เช้านี้ผมเห็นเจ้าหน้าที่ของโรงแรมและแขกคนอื่นๆที่มาพักอีกหลายคน ทำให้ดูไม่เงียบเหงาวังเวงเหมือนเมื่อวาน
ที่เคาท์เตอร์ฟร้อนของโรงแรมมีเจ้าหน้าที่สาวประจำการอยู่สองสามคน ผมคืนกุญแจและแจ้งเช็คเอาท์ ระหว่างรอเช็คห้อง ผมมองซ้ายมองขวาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า…
“น้องครับ รู้จักแม่บ้านที่ชื่อ…เอ่อ…ชื่อ “ป้าจวน” หรือเปล่าครับ”
“อ๋อ รู้ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”
ก่อนที่ผมจะเอ่ยต่อไป เเกร็ก…แกร็ก…แกร็ก…
ผมจำได้อย่างแม่นยำทั้งเสียง และจังหวะ มันดังมาจากข้างหลังผม ผมรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจดเท้า ความกลัวแล่นเข้ามาที่ความรู้สึกอีกครั้ง
“นั่นไงคะ ป้าจวน พูดถึงก็มาพอดี ป้าจวน คุณพี่เขาถามหาจ่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมหันหน้าบอกทิศทาง
ผมหันตามไปเช่นกัน ภาพที่ผมเห็นคือป้าจวนผีแม่บ้านที่ผมเจอเมื่อวานนี้เต็มๆ ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะปากเริ่มสั่น แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้อย่างดี แล้วป้าจวนก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสุภาพว่า
“คุณจ๊ะ เมื่อวานคุณลืมกุญแจไว้ที่หน้าห้อง ป้าเคาะเรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่เห็นเปิดประตู ป้าเกรงใจก็เลยมาบอกน้องที่เค้าเข้ากะเมื่อคืนให้โทรบอกแขกหน่อย ไม่รู้ว่าเขาโทรบอกคุณหรือเปล่า”
ป้าจวนจบประโยคด้วยรอยยิ้ม อาการไอของเมื่อวานมีอยู่ในลำคอเพียงเบาๆ
“คะ คะ ครับ บอก..บอกแล้วครับ” ผมตอบแบบงงๆ
“แล้วเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่เมื่อหัวค่ำ ป้ากลัวว่าจะรบกวน ก็เลยเดินไปตามกลับมาอยู่กับพ่อแม่มัน เด็กพวกนั้นมันก็หลานๆป้าทั้งนั้นแหละ ว่าแต่ถามหาป้ามีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ป้าจะมาส่งงานแล้วกำลังจะกลับบ้านพอดี”
“เมื่อวานผมเห็นเด็กๆสามคนบอกว่าป้าเป็น…เอ่อ…เป็น”
“อ๋อ..เป็นผีนะเหรอ ป้ายังไม่ต๊าย” แกทำเสียงสูงแล้วก็หัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องปรกติ
แล้วเจ้าหน้าที่สาวประจำโรงแรมก็อธิบายว่า “ป้าจวนที่เด็กๆพูดถึงน่ะ แกชื่อ”รัญจวน” ค่ะ ส่วนคนนี้ชื่อ “ลำจวน” แกเป็นเพื่อนกันแล้วก็เป็นแม่บ้านของที่นี่มานานแล้วค่ะ เมื่อปีก่อนป้าจวนแกป่วย เอ่อ..หนูหมายถึงป้ารัญจวนนะคะ” เธอพูดมาปนรอยยิ้มสดใส
“จนต้องออกจากงานไปรักษาตัว แล้วแกก็เสียไปตั้งหลายเดือนแล้วค่ะ ไม่มีอะไร เด็กๆลูกหลานของคนในโรงแรมก็รู้จักแกดี เด็กๆก็คงเอาไปพูดล้อหลอกกันตามประสาเด็กค่ะ” แล้วเธอก็หันมามองที่ป้า “ลำจวน”
“ส่วนคนนี้ยังแข็งแรงดี แต่เป็นหวัดไอมาสองสามวันแล้วค่ะ ไม่ยอมหยุดงาน วันนี้น่าจะดีขึ้นแล้วนะป้า” ประโยคท้ายเธอพูดกับป้าจวน
ผมยังมีประเด็นที่สงสัยต่อ…“แล้วเด็กๆที่ไปวิ่งเล่นแถวตึกพักล่ะครับ เห็นว่าเจ้าของโรงแรมห้ามอย่างเด็ดขาด กลัวว่าจะรบกวนแขก แล้วก็เอ่อ..กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ จมน้ำตายเหมือนคราวก่อน”
“จมน้ำตาย ?” เธอทำหน้างงๆ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“หนูทำงานมาหลายปีไม่มีใครจมน้ำตายนะคะ เรื่องราวเป็นอย่างไรคะ”
ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องเมื่อค่ำวานนี้ที่ได้คุยกับ “ธงกิจ” ผู้ช่วยผู้จัดการห้องอาหารของโรงแรมให้ฟัง เนื่องจากยังเช้าอยู่งานที่เคาท์เตอร์ยุงไม่มากนัก เจ้าหน้าที่สาวอีกสองคนและป้า “ลำจวน” จึงเข้ามาฟังด้วย…
หลังจากผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง สาวๆหันไปมองหน้ากันอย่างงๆ ส่วนป้าจวนดูจะยังไม่เชื่อในเรื่องที่ผมพูด และเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า
“ไอ้กิจมันถูกไฟช็อตตายในห้องอาหารเมื่ออาทิตย์ก่อน คุณจะเจอมันได้ยังไง”
ทันทีที่จบประโยค ผมอ้าปากค้างตาเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนสงสัย เจ้าหน้าที่สาวอีกคนพูดเสริมมาว่า
“แล้วห้องอาหารที่คุณพี่เข้าไปเมื่อคืน มันถูกปิดอยู่นะคะ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเข้าไป โรงแรมรอช่างเข้ามาซ่อมระบบไฟให้เสร็จ แล้วถึงจะเปิดใช้อีกทีค่ะ ตอนนี้ก็เลยใช้ห้องอาหารอีกห้องที่ติดห้องประชุมใหญ่แทน เมื่อวานก็ยังมีลูกค้ามาทานอาหารตั้งหลายคน”
ผมอึ้งไปอีกครั้ง อาการเหมือนจะยืนไม่อยู่ ทุกคนแม้จะดูตกใจแต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังนัก
เจ้าหน้าที่อีกคนหยิบแฟ้มห้องพักของผมขึ้นมาเพื่อเตรียมรับชำระเงินและออกบิล คราวนี้ทุกคนหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเพิ่งแต่งหน้ามาก็ตาม
ในแฟ้มมีเอกสารรายละเอียดค่าห้องพัก ส่วนกระดาษอีกใบสีเทาเท่าฝ่ามือ คือบิลค่าอาหารพร้อมรายเซ็นของผม ข้างๆกันผู้รับออร์เดอร์ เขียนเป็นรายมือชัดเจน ระบุชื่อ “ธงกิจ” ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครพูดอะไร หนึ่งในนั้นน้ำตาคลอเหมือนกับจะร้องไห้
“แล้วตั้งแต่เกิดเหตุ โรงแรมได้ทำบุญบ้างหรือเปล่า” ผมถามด้วยน้ำเสียงปนสั่นพร้อมควักยาดมในกระเป๋าเป้
“ยังไมได้ทำค่ะ”
ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดของ ธงกิจ เมื่อคืน…
“จริงๆ ผมก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้กับใครหลอกครับ แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทางเจ้าของโรงแรมเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่ทำบุญให้ พวกเขาก็เลยไม่ไปไหน ผมเลยคิดว่า ถ้ามีคนรู้เรืองนี้เยอะๆ เจ้าของโรงแรมเขาก็น่าจะทำอะไรให้มันดีขึ้นมาบ้างครับ”
ขอบคุณที่มา https://pantip.com/topic/35378968