ย้อนรอยอาถรรพ์โรงงานตุ๊กตา

ย้อนรอยอาถรรพ์
ย้อนรอยอาถรรพ์

เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณแม่ผมเอง คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ความจริงเมื่อก่อนโรงงานแห่งนี้ไม่ใช่เป็นโรงงานผลิตตุ๊กตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นโรงงานผลิตของเล่นใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีหุ้นส่วนเป็นชาวต่างชาติ  มีพนักงานอยู่ทั้งหมดเกือบสองพันคน…

คุณแม่ผมทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งนี้ เป็นพนักงานรุ่นบุกเบิกรุ่นแรกๆเลยก็ว่าได้  ด้วยความที่คุณแม่มีตำแหน่งเป็นพนักงานทำเอกสารจึงทำให้ท่านรู้จักกับพนักงานแทบทุกคน และพนักงานเกือบทุกคนก็แทบจะรู้จักคุณแม่ผมเช่นกัน 

คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ทุกๆ วันที่คุณแม่ไปทำงานมักจะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นอยู่เสมอ คือ คนงานในโรงงานมักจะมีพฤติกรรมแปลก ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือผีเข้านั่นแหละ 

โรงงานมีตึกทั้งหมด 5 ตึก คนงานแบ่งกระจายกันอยู่ตึกละ สองร้อย สามร้อย สี่ร้อยคน แต่มีผีเข้าทุกตึก เข้าตึกโน้นบ้างเข้าตึกนี้บ้าง พอเวลาผีเข้าเนี่ยก็จะมีพนักงานผู้ชายมาหิ้วปีกเข้าห้องพยาบาล ผมก็เลยถามแม่ว่า “อ้าว..แล้วเวลาออก ออกยังไงอะ” คุณแม่บอกว่า “ถึงเวลาออกผีมันก็ออกไปเอง”

ซึ่งการโดนผีเข้าของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป บางคนเอาแต่ร้องไห้ บางคนก็โวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ บางครั้งก็เข้าซ้ำคนเดิมๆก็มี คุณแม่บอกว่าตลอดระยะเวลา 6-7 ปีที่ทำงานในโรงงานแห่งนี้ มีเหตุการณ์พิลึกแบบนี้เกือบทุกวัน จนกลายเป็นเรื่องชินตาของพนักงานทุกคน 

จนกระทั่งเรื่องมันไปถึงหูของผู้บริหาร ผู้บริหารจึงได้จัดให้มีการทำบุญใหญ่ แต่เหมือนการทำบุญครั้งนี้มันไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านี้ลดน้อยลง ยิ่งกลับทำให้ทวีพูนเพิ่มมากขึ้น 

จากที่เข้าวันเว้นวัน ก็กลายเป็นเข้าทุกวันเวลาเลย เข้าตึกนู้น ตึกนี้ ตึกนั่น เข้าแบบสี่เวลาเลยก็มี เช้า สาย บ่าย เย็น จนผู้บริหารต้องเชิญพระอาจารย์เกจิมาทำพิธีปัดรังควาน 

วันนั้นวันที่มีพิธีปัดรังควาน คุณแม่นั่งอยู่โซนแถวหน้ามีผู้บริหาร พนักงาน และเกจิอาจารย์อยู่ด้านหน้า ในขณะที่พระเกจิอาจารย์กำลังทำพิธีอยู่นั้น ได้มีเหตุการณ์ผีเข้าคนนั้นที คนนี้ที คือเข้าโดยไม่ได้มีความเกรงกลัวอะไรพระเกจิเลย 

ตอนนั้นลมพัดแรงมาก และสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจมากที่สุดก็คือ ลิฟท์ขนสินค้าที่อยู่ตึกนั้น จู่ๆมันก็เลื่อนขึ้นลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งปกติลิฟท์ถ้าไม่มีการใช้งานมันจะค้างอยู่ชั้นล่าง คือระหว่างที่ทุกคนกำลังทำพิธีกันอยู่ พอคนโดนผีเข้า ลิฟท์ก็จะเลื่อนตัวขึ้นไป แต่พอพระเกจิอาจารย์กำลังรดน้ำมนต์คนที่โดนผีเข้า จู่ๆ ลิฟท์ก็ทิ้งตัวลงมาดังสนั่นหวั่นไหว…จนคนที่อยู่ใกล้ๆ ลิฟท์ถึงกับวงแตก

จนกระทั่งพระอาจารย์เกจิทุกท่านทำพิธีจนเสร็จ ท่านก็ได้แจกสายสิญ พระเครื่องให้กับพนักงานทุกคน  แต่เหมือนว่าการเชิญพระเกจิดังมาปัดรังควานจะไม่ช่วยอะไร เพราะหลังจากวันนั้นพนักงานทุกคนที่ทำงานอยู่ที่โรงงานงานนี้ถ้าไม่ลาออก ก็ต้องแขวนพระหรือห้อยสิ่งศักดิสิทธิ์มาทำงานกันทุกคน 

จนกระทั่งวันนึงผีเข้าผู้บริหารท่านนึงที่เป็นผู้ชาย แล้วผู้บริหารท่านนั้นก็พูดออกมาว่า “จะเอาอะไรมาให้กู กูก็ไม่เอา… กูจะเอาคนของมึงไปอยู่กับกู…” หลังจากเกิดเรื่อง คนงานทุกคนถ้าใครอยู่ได้ก็อยู่ ถ้าใครอยู่ไม่ได้ก็ต้องลาออกเลย 

หลังจากเหตุการณ์ที่ผู้บริหารถูกผีเข้า ไม่นานก็มีเรื่องสลดเกิดขึ้นมาจริง ๆ วันนั้นคุณแม่ไปทำงานอีกตึกนึง เห็นคนงานซุบซิบ ๆ กัน ก็เลยเข้าไปถามว่ามันมีอะไร คนงานก็เงียบ ๆ แล้วกระซิบบอกว่า “น้าลองขึ้นไปดูข้างบนสิ” คุณแม่ก็ถามว่า “มันมีอะไรเกิดขึ้น” คนงานบอกว่า “น้าขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าแล้วมองลงมาสิว่ามันมีอะไร” 

ด้วยความที่คุณแม่เป็นคนห้าวๆ อยู่แล้วด้วย คุณแม่ก็เลยชวนเพื่อนที่สนิทกันขึ้นไปบนดาดฟ้า มองลงมา เห็น จนท.มูลนิธิกำลังเก็บร่างของใครบางคนอยู่ คุณแม่มาทราบภายหลังว่า ผู้หญิงคนนี้ทำงานอยู่แผนกเย็บ อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะจักรของตัวเองเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า แล้วกระโดดทิ้งตัวลงมา…เหตุการณ์นี้สร้างความหมวดกลัวให้กับคนงานทุกคนเป็นอย่างมาก

ตอนนั้นถ้าถามว่าคุณแม่กลัวมั้ย บอกเลยว่าแม่เริ่มกลัวละ… แต่แม่ก็เต็มใจที่จะอยู่ต่อเพราะแม่ทำงานที่นี่มานานแล้ว แล้วเหตุการณ์ต่างๆก็เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรกแค่มีคนถูกผีเข้า ก็เริ่มเกิดอุบัติเหตุภายในโรงงานบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือว่าไฟไหม้ 

คุณแม่บอกว่าโรงงานนี้เกิดไฟไหม้บ่อยมาก เดือนนึงประมาณ 1-2 ครั้ง ปีนึงหลายสิบครั้ง ซึ่งไฟไหม้ครั้งนึงก็ไม่เสียหายอะไรมาก จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป 28 ปี 

วันที่ 10 พฤษภาคม 2536 ตอนนั้นผมกับแม่เช่าห้องอยู่ในระแวกโรงงานแห่งนี้ วันนั้นผมกำลังเล่นกับเพื่อนอยู่ก็มีน้าคนนึง ตะโกนบอกผมว่า “เห้ย… มึงไม่ไปดูแม่มึงหรอ…โรงงานแม่มึงไฟไหม้อะ ไปดูแม่มึงดิ” 

ผมได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งจากห้องเช่าไปโรงงานเลย ถามว่าทำไม่ไม่ขึ้นรถไปล่ะ ก็เพราะตอนนั้นรถมันติดมาก ติดขนาดว่ามอเตอร์ไซค์ก็ไม่สามารถที่จะซอกแซกไปได้ ผมวิ่งจากบ้านตามควันไฟมาหลายกิโลจนมาถึงโรงงาน 

ซึ่งโรงงานนี้ผมค่อนข้างที่จะคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะช่วงปิดเทอมแม่ชอบให้ผมมาช่วยทำงาน แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนมาถึงคือ เพลิงกำลังลุกโหมกระหน่ำอยู่ มันชุลมุนวุ่นวายมาก จนมองไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร  เข้าไปก็ไม่ได้  

เพลิงกำลังไหม้ 3 ตึกที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นตึก 5 ชั้น ที่มีสะพานเชื่อมต่อกันทั้ง 3 ตึก วินาทีนั้นผมพยายามมองหาแม่ มองหาคนที่ผมน่าจะรู้จักเพื่อถามว่า แม่ผมอยู่ที่ไหน ถามไปก็ร้องไห้ไปด้วย เพราะอยากเจอแม่ 

ตอนนั้นชุลมุนมาก ผมมองไม่เห็นอะไรที่อยู่ด้านในเลย ผมจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปบนกำแพงโรงงานเพื่อมองเข้าไป แต่บังเอิญว่ายามเห็นผมซะก่อน เลยเข้าห้ามไม่ให้ผมเข้าไป 

ภาพที่ผมเห็นในตอนนั้นคือ ตึกที่กำลังถูกไฟไหม้ มีคนที่อยู่ในตึกกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ผมได้ยินเสียงของพวกเค้าชัดมาก ถึงแม้ว่ารอบข้างจะชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน  มองขึ้นไปด้านบนดาดฟ้าของตึกมีคนกำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ 

บางคนรอความช่วยเหลือไม่ไหว เพราะเพลิงกำลังลุกลามไล่จากชั้นล่างขึ้นไปชั้นบน ถ้าไม่หนีเพลิงไฟก็ต้องหนีควันไฟขึ้นไปบนชั้นที่สูงกว่า ผมเห็นพวกเค้าทำอะไรไม่ได้ นอกจากกระโดดลงมาจากตึกสูง 5 ชั้น 

ซึ่งบริเวณด้านล่างรอบตึกจะมีวัสดุอุปกรณ์ที่โรงงานทิ้ง กล่องบ้าง ลังบ้าง ของอะไรบางอย่าง ทุกคนต่างหนีตาย ถ้าไม่กระโดดลงมาก็ไม่รอด แต่กระโดดลงมาก็ใช่ว่าทุกคนจะรอดเช่นกัน บางคนก็พิการ  บางคนก็สาหัสบ้าง 

ประมาณ 1 ชั่วโมงให้หลัง ตึกที่ 1 ลง แล้วตึกที่ 2 ก็ถล่มตามลงมา เหลือเพียงตึกที่ 3 ที่ยังไฟยังลุกโชนอยู่ หลังจากที่เพลิงเริ่มสงบลงเจ้าหน้าที่ก็เข้าไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ตอนนั้นผมก็ยังเฝ้ารอที่จะถามอยู่ว่า แม่ผมอยู่ไหน 

ณ ตอนนั้นถ้าถามผมว่า ผมรู้สึกยังไง ผมได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย เพราะตึกที่ถล่มลงมานั้น มันคือตึกที่แม่เคยพาผมมาช่วยงานช่วงปิดเทอม ซึ่งท่านทำงานอยู่ที่ชั้น 4  

ผมเห็นเจ้าหน้าที่เริ่มทยอยนำศพมาวางเรียงกันไว้ด้านหน้าโรงงาน สภาพศพแต่ละศพที่ผมเห็นมันไหม้เกรียมจนไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นใคร บางศพก็มาไม่ครบ 32  เป็นภาพที่เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ น่าอนาถใจยิ่งนัก 

ณ ตอนนั้นผมก็ยังคงตามหาแม่ของผมอยู่ สุดท้ายผมได้อาศัยช่วงชุลมุนตัดสินใจวิ่งเข้าไปในโรงงานเพื่อไปตามหาแม่ จนไปเจอน้าคนที่บอกว่า “แม่เอ็งอยู่ตึกสุดท้าย”  ตอนนั้นผมดีใจมาก ที่ได้เจอแม่

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นทางโรงงานก็ได้ทำการกักพื้นที่บริเวณที่ถูกไฟไหม้  และปล่อยให้กระบวนการทางกฎหมายจัดการต่อ ผ่านไปได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ผมมาที่โรงงานกับแม่เพื่อร่วมทำพิธี บุญ ส่งวิญญาณ แต่สิ่งที่ผมเห็นคือมีญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายมาตามหาลูกของตัวเอง ซึ่งเป็นอะไรที่หดหู่มาก ๆ 

หลังจากผ่านพิธีทำบุญ คุณแม่ยังต้องทำงานที่นี่ต่อ เพราะว่า ณ ตอนนั้นมีสต๊อคที่ต้องส่งออกต่างประเทศ ด้วยความที่ท่านทำเกี่ยวกับเอกสาร ท่านก็เลยต้องมาดูแลเรื่องเอกสารในการส่งสต๊อคนี้อยู่ แม่บอกว่าสี่โมงครึ่งต้องตอกบัตรหนีเลย  อยู่ไม่ได้จริงๆ ต่อให้กลางคืนมีโอทีขนาดไหนก็ไม่มีใครทำ 

หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้น ทำให้อาคารของโรงงานแห่งนี้เหลือเพียง 2 ตึก และ 2 ตึกนี้ก็อยู่ด้านในสุดเสียด้วย เวลาตอกบัตรกลับบ้านแม่จะต้องเดินผ่านซากตึกที่เกิดเหตุทั้ง 3 ตึก ทุกครั้งที่เดินผ่านมันเป็นไปไม่ได้เลยที่แม่จะไม่หันไปมอง ถ้าตอนเช้าหันไปมองมันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ตอนเย็นนี้สิเวลาหันไปมองแล้วมันรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก 

มีคนบอกว่าแม้แต่ตอนกลางวันแสกๆยังได้ยินเสียงโหยหวน ลอยมาตามลม นอกจากเสียงที่ได้ยินแล้ว ยังมีเรื่องห้องน้ำอีก คนที่เจอเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ปลดทุกข์เสร็จ เปิดประตูออกมา เดินไปเปิดก๊อกน้ำก้มหน้าล้างมือ และเงยหน้าขึ้นมามองกระจก เห็นวิญญาณดำมืดยืนอยู่เต็มด้านหลังเลย จนทำให้ไม่มีใครกล้าไปห้องน้ำคนเดียวอีก ต้องชวนกันไปหลายๆคนตลอด

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหลังจากโสกนาฎกรรมในครั้งนั้นมันดังมาก ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ รถเมล์ วินมอเตอร์ไซด์ โดนกันหมดทุกคน วินมอไซค์เล่าให้ฟังว่า ช่วงโพล้เพล้ มีคนงานเรียกวินให้ไปรับ แต่พอขึ้นนั่งปุ๊บ รถออกตัวปั๊บ หันหลังไปดูอีกที ผู้โดยสารก็ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้หายไปตอนไหน

ตอนนั้นผมเช่าห้องอยู่กับแม่สองคน ซึ่งห้องเช่าที่ผมอยู่มีคนที่ทำงานอยู่ที่โรงงานนี้เยอะมาก เกือบครึ่งของห้องเช่าทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้าของผมคนนึง เค้าเล่าให้ฟังหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้

คืนนั้นน้าไปเที่ยวกับเพื่อนมา ขากลับบ้านเดินผ่านซอยนั้นที่จะแยกไปอีกซอยนึง น้าบอกว่าขณะเดินผ่าน น้าเห็นผู้หญิงกำลังอาบน้ำ ด้วยความเป็นหนุ่มเค้าก็เลยไปด้อม ๆ มอง ๆ เพื่อแอบดู แอบดูอยู่สักพักประจวบเหมาะกับที่ผู้หญิงคนนั้นนุ่งกระโจมอกหันหน้ามา ปรากฏว่าใบหน้าของเธอมืดดำปี๋จนมองไม่เห็นอะไร นั่นทำให้น้าจับไข้หัวโกรนไปหลายวัน 

หลังจากนั้นมาห้องเช่าที่ผมอยู่เกือบ 100 ห้องพอเกิดเหตุการณ์นี้ คนเช่าก็หายไปเกือบครึ่งเลย เหลือไม่ถึง 50 ห้องเสียด้วยซ้ำ 

ยังมีอีกเหตุการณ์ที่คนในซอยมักจะพูดถึง หลังจากที่เกิดเหตุไฟไหม้ในวันนั้น ได้มีชาวบ้านในซอยหลายคนเข้าไปหยิบตุ๊กตาออกมาจากโรงงงานที่เกิดเหตุ เป็นตุ๊กตาสุนัข ที่เวลาเราทุบมันจะมีเสียงร้องออกมา 

วันนั้นชาวบ้านคนนี้ได้หยิบตุ๊กตาตัวนี้ออกมาจากจุดเกิดเหตุ กะว่าจะกลับเอาไปให้ลูกเล่นที่บ้าน ปรากฏว่าตอนกลางคืนตุ๊กตาหมาที่เค้าเอากลับมามันเห่าทั้งคืนเลย ทั้งๆที่ไม่ได้มีใครไปทับหรือไปกดอะไรมัน 

รุ่งเช้าชาวบ้านคนนี้เลยไปเล่าให้เพื่อนๆฟัง ปรากฏว่า พวกเพื่อนๆที่หยิบตุ๊กตากลับมาเหมือนกัน เจอเหมือนกันทุกคน สุดท้ายทุกคนต้องเอาตุ๊กตาที่หยิบมากลับไปคืน เพราะคิดว่าดวงวิญญาณคงสิงสู่อยู่ในตุ๊กตาพวกนี้ 

บางคนขับรถผ่านช่วงเช้ามืดกำลังจะไปทำงาน ก็เห็นคนเดินกันเต็มถนนเลย แถมยังเดินไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเวลานี้ไม่น่าจะใช่เวลาที่คนออกมาทำงานกัน

ตามคำกล่าวอ้างของแต่ละคนร่ำลือกันว่าพื้นที่โรงงานแห่งนี้ น่าจะเคยเป็นอะไรมาก่อนหรือไปสร้างทับอะไรหรือเปล่า บ้างก็ว่าสร้างทับที่ป่าช้าเก่าบ้าง สุสานเก่าบ้าง แต่แม่กลับบอกว่า ที่คนเขาร่ำลือกันมานั้นไม่เป็นความจริงเลย เพราะ….

วันนั้นไม่รู้แม่ผมคิดยังไงชวนเพื่อนเดินลัดเลาะไปข้างหลังโรงงาน เพื่อไปเก็บผลไม้ที่อยู่หลังโรงงานกิน จนไปพบกับคุณป้าท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยความอยากรู้ของแม่…

แม่ถามป้าท่านนั้นว่า “ป้า ที่โรงงานแห่งนี้มีคนโดนผีเข้าทุกวันเลยนะป้า ฉันอยากรู้ว่าไอ้ที่ดินตรงนี้แต่ก่อนมันเคยเป็นอะไร” ป่าเล่าให้ฟังว่า “เดิมทีโรงงานแห่งนี้ไม่ใช่โรงงานผลิตตุ๊กตา ก่อนหน้านี้เคยเป็นบริษัทอื่นๆมาแล้ว ปั๊มน้ำมันก็เคยเป็น แต่ก็เกิดเหตุไฟไหม้เหมือนกันทุกบริษัท จนมาถึงบริษัทตุ๊กตาเจ้านี้ 

แม่ก็เลยถามป้าว่า แล้วที่เขาร่ำลือกันว่าเป็นสุสานบ้าง เป็นป่าช้าบ้าง มันจริงหรือเปล่าป้า ป้าก็บอกว่า จริงๆมันไม่ใช่อย่างนั้น สมัยก่อนที่ดินแห่งนี้เป็นที่ดินของตระกูลตระกูลหนึ่ง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ด้วยความที่ที่ดินผืนนี้มันใหญ่มาก พอพ่อแม่ของตระกูลนี้เสียชีวิตลง พี่สาวคนโตที่ได้รับมอบหมายให้จัดการมรดกทุกอย่าง แต่ด้วยความโลภ พี่สาวเลยฮุ๊บที่ทั้งหมดไว้คนเดียว ไม่แบ่งที่ให้น้องเลย 

สุดท้ายก่อนที่พี่น้องทุกคนในตระกูลนี้จะเสียชีวิต พวกเขาได้สาปแช่งที่ดินผืนนี้ไว้ เดาว่าคำสาปแช่งค่อนข้างที่จะรุนแรงแน่นอน  ถึงทำให้เอาไปทำมาหากิน เอาไปทำธุรกิจอะไรก็ไม่ขึ้น…จนกลายเป็นที่ดินอาถรรพ์ 

ขอบคุณเรื่องจาก สถานีผีดุ |  อาถรรพ์โรงงานตุ๊กตา | คุณเล็ก ถอดความโดย คลังหลอน 

***สำนวนการแปลทั้งหมดเป็นของคลังหลอน ห้ามคัดลอกไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะครับ ***

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleรองเท้านารี