เรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องสาวของยายของ เราเอง เราก็เรียกยายแหละ เราพึ่งเสียยายไปเมื่อสิ้นเดือน ธันวาคม 59 การตายของยายเราทุกคนอาจจะมองว่า เป็นการหมดไปตามอายุขัย แต่สำหรับเราและคนรอบข้าง ไม่ใช่เลย
เราออกจากงานที่เก่าแล้วมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เนื่องจากบริษัทมีปัญหาจึงปิดตัวลง เราเลยเปิดร้านเล็กๆ ขายเครื่องสำอางอยู่ข้างๆร้านของพ่อกับแม่ เมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว เราได้ยินข่าวมาว่า แม่เราพายายมาอยู่ที่บ้านด้วย เนื่องจากยายไม่ค่อยสบาย ลูกหลานแกไม่ค่อยดูแล ยายคนนี้เป็นน้องสาวของยายเราอีกที ยายเราเสียไปแล้ว แกเลี้ยงแม่เรามาตั้งแต่เด็กๆ แม่เราจึงผูกพันกับยายมาก แม่ตัดสินใจพายายมาอยู่ด้วย หลังจากได้ยินข่าวๆต่างๆนาๆว่า น้าเราชอบปล่อยให้ยายอยู่คนเดียว ไม่สนใจ ตลอดเวลาที่แม่พายายมาอยู่แรกๆก็ปรกติดี
แต่พอช่วงเดือน มิถุนายน ยายเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากอาหารเป็นพิษ นอนโรงพยาบาลอยู่ สี่วัน ระหว่างอยู่ที่โรงพยาบาล คนที่มาเฝ้าเตียงข้างๆถามแม่เราว่า “ยายมีประวัติทางจิตรึเปล่า” ตอนนั้นแม่ก็แปลกใจ เลยถามว่าทำไม สรุป เค้าบอกว่า ยายลุกขึ้นมาคุยกับใครไม่รู้ ช่วงตีหนึ่งถึงตีสามทุกวัน คุยอยู่คนเดียว พอคุยเสร็จยายจะบอกว่า “เออ แกไปเถอะ ชั้นอยู่ได้” แล้วก็จะมองตามทางเดินไปจนออกนอกประตู ทั้งๆที่ตอนกลางคืนประตูจะปิด และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย มีแต่หลานเราที่นอนหลับเฝ้ายายอยู่ แต่ก็เหมือนไม่มีคนเฝ้า เพราะมันนอนอย่างเดียว แม่เราได้ฟังแบบนั้น ใจนึงก็คิดว่า รึว่ายายเป็นแบบนี้มานานแต่แม่ไม่รู้ หรือว่าแกแก่แล้วเลยหลงๆลืมๆ
หลังจากนั้น แม่ก็พายายกลับมาบ้าน แม่เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่แม่ไปทำเรื่องเอกสาร แม่มองมาดูยายที่เตียง เห็นยายคุยกับใครก็ไม่รู้ แม่เดินมาหายายกับพ่อที่เข็นรถมารับยาย แม่ได้ยินเสียงยายพูดว่า “ไม่มีที่อยู่กะไปเถอะ ไปอยู่กับชั้น เป็นเพื่อนกัน” แม่กับพ่อมองหน้ากัน แต่ไม่คิดที่จะถามว่ายายคุยกับใคร เพราะไม่อยากฟังคำตอบสักเท่าไร
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด หลังจากนั้น แม่จะโทรหาเราทุกวัน เริ่มบอกถึงอาการยายว่าเป็นหนักขึ้น แม่ต้องพายายไปหาหมอทางจิต แต่พอยายไปถึงหมอก็บอกว่าปกติของคนแก่ อาจจะหลงๆลืม แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เมื่อเดือนตุลาคม เราออกจากงานแล้วกลับไปอยู่บ้าน วันแรกที่เราก้าวขาเข้าบ้าน เรารู้สึกเหมือนมีคนมองเราอยู่ เราหันไปเจอยายนั่งยิ้ม แต่ยายไม่เรียกเรา เรายกมือไหว้ยาย แต่อยู่ดีๆยายก็ตะโกนขึ้นว่า “ออกไป!!!” เราตกใจ แม่วิ่งมา แล้วบอกยายว่า แม่ๆ(แม่เราเรียกยายว่าแม่) นี่ไอ้ทีไงลูกคนเล็กฉัน ยายมองหน้าเราแล้วยิ้มเหมือนเดิม
เราดึงแขนแม่ออกมาหน้าบ้านแล้วบอกแม่ว่า”หนูว่าไม่มีอะไรหรอกแม่ ยายแก 80 กว่าแล้ว ขี้หลงขี้ลืม เห็นภาพหลอนคุยกะคนอื่นไปเรื่อยแหละ ขนาดหนูแกยังจำไม่ได้เลย เมื่อกี้ตะโกนไล่ แล้วยิ้มให้อีก” แม่ได้ยินก็ถอนหายใจ “แกเอาของไปเก็บไปแล้วมากินข้าว” แม่บอกเราแล้วเดินเข้าไปในบ้าน เราถือกระเป๋าแล้วกำลังจะเดินขึ้นไปบนบ้าน เราเดินผ่านยายที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ได้ยินเสียงยายพูดว่า “ แกไปไหนมา หลานฉันมาจากกรุงเทพ” อีกแปปนึงก็พูดต่อว่า “อ้าว แกจะให้ฉันบอกมันยังไงล่ะ นี่บ้านมัน ไม่ให้มันอยู่นี่จะให้มันไปไหน” ยายพูดคนเดียวค่ะ แต่ตาหันไปมองข้างๆ
ตอนนั้นเริ่มรู้สึกหลอนขึ้นมา เราเลยรีบเดินขึ้นไปบนบ้าน เราเก็บของเสร็จพลางก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็พยายามคิดแหละว่า ยายแกแก่มากแล้ว เราลงมาหาแม่ตอนยายหลับอยู่ เรานั่งกินข้าวกันในครัว อยู่ดีๆพ่อก็พูดขึ้นว่า “แม่ แม่จำเมื่อวานที่พ่อพาแม่เล็ก (ชื่อยายเรา) ไปวัดตอนเช้าได้มั้ย คนในวัดถามพ่อว่า มากะใคร พ่อบอกว่ามากับแม่เล็ก เค้าถามพ่ออีกว่า อ้าวแล้วอีกคนละใครที่นั่งมาด้วยกัน “ พ่อพูดแค่นั้น เราสามคนมองหน้ากัน แล้วนั่งกินข้าวต่อ ไม่มีประโยคสนทนาต่อใดๆทั้งสิ้น หลังจากนั้น ยายเราก็คุยคนเดียวเหมือนเดิม จนเป็นเรื่องปกติ
จนเมื่อมาถึงวันที่ 28 ธันวามีญาติมาเยี่ยม มาเที่ยวที่บ้านเราหลายคน บ้านเราครื้นเครงมาก ยายนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง เรากำลังจะเดินขึ้นไปบนบ้านเพื่อหาที่นอนให้ญาติ หางตาเราไปเห็นว่า ยายนั่งอยู่กับใครไม่รู้คนนึง เราหยุดอยู่บนบันไดประมาณขั้นที่ 4 เราหันหลังกลับมามอง เราตกใจมาก เพราะยายยืนอยู่ตรงบรรไดขั้นที่ 3 ตรงหน้าเรา มือข้างนึงจับราวบันได ข้างนึง กำลังจะเอื้อมมาจับเรา เรากระโดดขึ้นไปแล้วถามยายว่า “ยายจะขึ้นไปไหนเดี๋ยวก็ตกบันไดหรอก “ ยายยิ้มแล้วเดินกลับไปที่เดิม” เรานี่ขนลุกไปทั้งตัวเลยค่ะ เราหันหลังกลับ แล้วรีบเดินขึ้นไปบนบ้าน
คืนนั้น บ้านเรามีการเล่นพนันกันเล็กน้อย เราก็นั่งอยู่ในวงกำลังได้เลย 555 ป้าเราคนนึงร้องขึ้น เฮ้ย ใครก็ได้มาดูยายเล็กหน่อย ทุกคนลุกจากวงวิ่งไปดูยาย ภาพที่เห็นคือ ยายนอนอยู่บนเตียงปกติ พ่อเราถามป้าว่า “มีอะไรร้องซะเสียงดังเลย แกก็นอนปกติ “ ป้ายืนนิ่งแล้วอยู่ดีๆก็เดินออกมาจากตรงนั้น ป้าเล่าให้ฟังว่า กำลังจะไปดูยายว่ายายนอนรึยัง แต่เข้าไปเห็นยายนอนอยู่ข้างล่างเตียงสภาพเหมือนแขน ขา หัก แต่พอหันหน้าไปเรียกคนอื่น หันกลับมายายไปอยู่บนเตียงได้ยังไงก็ไม่รู้ พวกเราพูดอะไรไม่ออก เราแปลกใจมาก คือความรู้สึกเราตอนนั้นมันบอกเลยว่า “ทำไมครั้งนี้เราไม่เห็น ทั้งๆที่เห็นเป็นเรื่องปกติ”ระหว่างที่คิดอยู่ แม่เลยถามเราว่า “ทีแกเห็นอะไรมั้ย” “ไม่อ่ะแม่หนูยังแปลกใจว่าทำไมไม่เห็น” แม่ว่ามันผิดปกติ ทุกคนในบ้านเห็นด้วย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
คืนที่สอง ระหว่างที่เราหลับกันอยู่ เราพลิกตัวหันไปหาแม่ เห็นแม่ลืมตาแล้วพูดขึ้นว่า “อยากเห็นกูเหรอ” เราสะดุ้งแล้วลุกขึ้น หลานที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ถามว่า เป็นไรพี่ทีละเมอเหรอ เราย้ายที่นอน แต่นอนยังไงก็ไม่หลับ ประมานตีสี่ของวันนั้น ป้าเราตะโกนเรียกแม่เราแล้วบอกให้มาดูยาย ทุกคนตื่นหมด รีบวิ่งลงไปดู ภาพที่เห็นยายชักตาค้าง ตัวเกร็งไปหมด แต่ที่มันหนักกว่านั้นคือ ผู้หญิงคนนึง ใส่ชุดโรงพยาบาลเก่าๆสีฟ้า ผมหยิกฟู ตัวดำมาก ยืนยิ้มอยู่ปลายเตียงยาย เรายืนนิ่ง ทุกคนวิ่งกันให้วุ่น พายายไปโรงพยาบาล เรานั่งไปหลังรถกับญาติๆ เอายายนอนไปข้างหลังเพราะตอนนั้นยายหมดสติไปแล้ว
ช่วงนั้นเป็นเวลาประมานเกือบตี 5 ระหว่างทางที่เรานั่งรถไป มือนึงเราจับยายไว้ แล้วก็มองทาง พักนึงเกือบถึงโรงบาล เรารู้สึกว่ายายกระตุก เราก็เลยมองไปที่ยาย ให้ทุกคนคิดภาพตามนะคะ ไฟตามถนน มันจะมีเป็นช่วงๆ จะสว่างแปปนึงแล้วก็มืด เรามองไปที่ยาย เราเห็นผู้หญิงคนนั้นนอน แล้วเหลือกตามามองเรา ยิ้มแล้วก็ ทำปากเป่าลมออกสลับกับยิ้ม แต่พอรถขับผ่านไปก็เป็นยายเราปกติ แต่พอมืดก็เห็นผู้หญิงคนนี้อีก เป็นอยู่สามครั้ง แล้วก็ปกติ เราเอามืออกจากยายแล้วหันไปเกาะน้าเรา แต่เมื่อถึงโรงพยาบาล หมอบอกว่ายายเสียแล้ว เสียตั้งแต่ตอนอยู่บนรถ ทุกคนร้องไห้ ต่างก็ช๊อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คนที่ช๊อคสุดคือเรา เรานั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน เราพยายามคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เราเล่าให้แม่ฟัง แม่ร้องไห้ แล้วโทษตัวเองว่าดูแลยายไม่ดี
งานศพยายเราจัดขึ้นที่บ้านเรา ทุกวันผ่านไปเป็นปกติไม่มีเหตุการณ์อะไร จนถึงคืนสุดท้าย หลังจากที่แขกในงานกลับกันหมด เราก็เก็บของ ล้างจาน หลังจากเสร็จแล้ว เราเห็นญาตินั่งคุยกันอยู่ เราเลยเดินเข้าไป ทุกคนมองหน้าเราแล้วพูดว่า “ไอ่ที ไหนเล่าให้ฟังหน่อยว่าที่แกเห็นเป็นแบบไหน “ เราเล่าให้ฟัง ระหล่างเล่าเห็นหลานคนที่บอกว่าไปนอนเฝ้ายายนั่งตัวสั่น เราเลยถามว่าเป็นอะไร แม่ของหลานบอกกับเราว่า ก็ไอ่น็อตมันบอกว่า คืนแรกที่ไปเฝ้ายายเล็ก มีคนบ้าหลุดจากเตียงวิ่งมาเขย่ายาย แล้วพูดว่า ไปๆอยู่ด้วยกันดีกว่า” หมอและพยาบาลวิ่งมาจับ ยายก็ยิ้มแล้วเหมือนจะพูดแกล้งๆไปว่า “เออ เดี๋ยวตามไป แล้วก็หัวเราะ” เรานี่ขนลุกไปหมดเลย แต่เราก็พูดไปว่า ไม่น่าใช่หรอก เขาอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ พวกเราเลยตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปถามที่โรงพยาบาล งานเผาศพยายเราผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัด หลังจากเสร็จเรารีบไปโรงพยาบาลเพื่อไปถาม คำตอบที่ได้จากพยาบาลคือ
“อ๋อ แกชื่อ ยายต้อย แกสติไม่ดี แต่แกเสียไปแล้วนะ เสียไปวันที่วิ่งไปหายายที่เตียง พอกลับมา หมอจับมัดไว้ แกช็อค แล้วอยู่ดีๆแกก็หมดสติไป ผลสรุปคือ แกหัวใจล้มเหลว มีอะไรเหรอ”
เราบอกพยาบาลว่าไม่มีอะไร ถามดู ทุกคนกลับบ้านกัน แล้วตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก ลุงเราบอกว่าให้คิดซะว่า ยายเล็กแก่มากแล้ว ถึงคราวแล้ว….แต่สำหรับเราไม่ใช่เลย เพราะหลังจากเผายายเสร็จ เขายังอยู่ อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น ห้องนั้น ที่อยู่ท้ายสุดของตึกหญิง เรายังเห็นเขานั่งปรบมืออยู่บนเตียง
ที่มา ของเล่นสีชมพู