ค่ายเนตรนารีหลอน ป่าคลอก หาดท่าหลา จังหวัดภูเก็ต

ค่ายเนตรนารีหลอน
ค่ายเนตรนารีหลอน

ย้อนไปเมื่อ พ.ศ.2544 ตอนนั้นเราเข้าเรียนชั้น ม.1 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต และทุกๆปีจะมีการเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีช่วงปลายปี โรงเรียนของเราจะไปเข้าค่ายตรงนี้ทุกปี สมัยแม่เราเรียนที่โรงเรียนนี้ก็เข้าค่ายที่นี่เหมือนกัน 

วันที่จะต้องเตรียมของเพื่อจะเดินทางไปเข้าค่าย แม่ก็จะเป็นคนเตรียมของให้และไม่มีอาหารประเภทหมูเลย และคำพูดของแม่จะย้ำตลอดว่า ห้ามพูดอะไรไม่ดี เจออะไรห้ามทักและที่ตรงนั้นเป็นที่ของอิสลามอย่าเอาหมูเข้าไปกินนะ เจอแสงไฟในทะเลก็ห้ามทัก เพราะไม่ใช่ไฟเรือ มันเป็นผีอย่าร้องทักเดี๋ยวจะเข้าตัว (ผีชินเป็นผีทะเล ทางใต้เรียกว่าแบบนี้ตามคำเล่าของคนแก่ จะบอกว่าเป็นผีที่มีดวงไฟกลมโตสีส้มห้ามทัก)  

จนวันที่ต้องไปเข้าค่ายมาถึง เรานั่งรถโรงเรียนไปลงที่แยกท่าเรือเพื่อตั้งแถวและเดินทางไกลเข้าไปยังจุดหมายและผ่านฐานต่างๆไปตามทางเรื่อยๆ ระยะก็ไกลพอสมควร 

เราก็ทำกิจกรรมตามฐานไปเรื่อยๆ จนถึงฐานสุดท้ายที่จะต้องเข้าไปตามทางเข้าหาดวีรสัตรีอนุสรณ์ ตรงนั้นจะมีโรงเรียนเด็กพิเศษด้วย สิ่งแวดล้อมตามทางเข้า ริมทางจำไม่ได้ว่ามีไฟไหม เพราะไม่ได้สังเกตุ มีแต่ต้นมะพร้าวสูงใหญ่เต็มสองข้างทาง เราก็เดินไปเรื่อยๆจนเจอทะเล

บรรยากาศโดยรอบคือ เป็นทะเลใหญ่แต่เป็นลักษณะคล้ายๆป่าโกงกางขึ้นอยู่ในทะเลด้วย เป็นต้นใหญ่ๆ แบบประปราย ทะเลมีแต่โคลน ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ และตรงนั้นจะมีโรงเรียน และลานกว้างสำหรับทำกิจกรรม

พอประชุมเลิกกองเสร็จก็มาจัดแจงสร้างเต้นท์กัน พอสร้างเสร็จก็ไปทำกิจกรรมเข้าฐานทั่วไปจนถึงเวลาทานอาหารและเข้านอน และมีการแบ่งเวรยามเพื่อเฝ้าเต้นท์ของตัวเอง คืนนั้นเราได้เข้าเวรช่วงเที่ยงคืน-ตี 2 พอถึงเวลาเข้าเวรเราก็ลุกมาแต่งตัวใส่ชุดเนตรนารีและนั่งอยู่หน้าเต้นท์ เราก็มองอะไรเพลินๆเรื่อยเปื่อย จนไปสะดุดแสงไฟหลังต้นไม้สีส้มกลมโตมาก แต่แม่ก็เตือนไว้แล้ว จึงไม่คิดอะไร จนเรามองไปยังต้นโกงกางที่อยู่ในทะเล 

คืนนั้นเป็นคืนที่ดวงจันทร์กลมโต และส่องสว่างมาก เรามองไปที่กิ่งไม้ที่มีแสงจันทร์สาดลงมา เรามองเห็นเป็นเงาๆ เหมือนคนอยู่บนกิ่งไม้ เราจึงขยี้ตาเพราะคิดว่าตาฝาด เราจึงมองเพ่งไปอีกครั้ง ครั้งนี้เราเห็นชัดมากกว่าเดิม ในเงาของเขาเหมือนเขาหันหน้ามองมาทางเรา เป็นผู้หญิงนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้ แต่มองหน้าไม่เห็น ใส่ผ้าถุงนั่งห้อยขาและแกว่งขา และตรงข้างๆผู้หญิงก็ยังมีอีกเงาที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดียวกันและเอามือค้ำลำต้นไว้ โดยมีผู้หญิงนั่งอยู่ระหว่างใต้แขนเขาและต้นไม้ 

ตอนนั้นเหมือนสติเราหลุดเลย เราจำได้ว่าเราก้าวขาออกแล้วจะวิ่งทันที เพื่อนสนิทเราคว้าตัวเราไว้แล้วกอดค่ะ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราตัวชาไปทั้งตัวและหูอื้อแทบจะไม่ได้ยินเสียงใครพูดอะไร จนมีอาจารย์วิ่งเข้ามาและลากเราไปยังหน้าเต้นท์ โดยมีอาจารย์อีกคนตามมาสมทบและท่องคาถาอะไรซักอย่าง หลังจากนั้นก็เอากำปั้นทุบลงบนหัวเราแรงๆ 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่ทุบลงไป เราเหมือนมีอะไรหลุดออกไปทุกครั้งที่ทุบหัวเราครั้งที่ 3 จนเราร่วงลงไปนอนกองกับพื้นเลยค่ะ เหมือนคนไม่มีแรง

จนกระทั่งเราเข้าไปนอนในเต้นท์ เราคิดว่ามันคงจะจบแล้ว ระหว่างนอนจะมีเพื่อนนอนจับมือเราไว้ทั้ง 2 ข้างค่ะ แต่ระหว่างที่เราหลับแต่มันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เราเห็นชาย-หญิง 2 คนยืนอยู่ที่ปลายเท้าใส่ชุดเหมือนคนอิสลามผู้หญิงใส่ผ้าถุงและผ้าคลุมหัว ผู้ชายใส่ผ้าโสล่งเสื้อมีกระดุมหน้าและมีหมวกแต่สภาพของชุดนั้นเก่ามากๆ ผู้หญิงนั้นร้องไห้สะอื้นพูดภาษาที่เราไม่รู้จัก ส่วนตัวคิดว่าเป็นภาษายาวีค่ะ แต่เหมือนเราจะเข้าใจเขา

ในตอนนั้นเหมือนเขาพูดมาว่า กว่าจะตามหาเจอรอมานานแล้วกลับไปอยู่กับเขาเถิดนะ ในความรู้สีกของเราคิดว่าเขาจะสื่อแบบนี้ ณ.เวลานั้นเพื่อนมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า เรากรีดร้องเสียงหลงร้องไห้โวยวายหลับตาเรียกไม่ตื่น เพื่อนตัวอ้วนมากค่ะ ตบหน้าเรา ทั้งเรียกไปด้วยและตบไปด้วย ตอนนั้นได้ยินเสียงลางๆค่ะ แต่ลืมตาไม่ขึ้น ตบจนหน้าบวมไปข้างนึงกว่าจะตื่น พอเราตื่นขึ้นมาตอนนั้นกลัวมาก ร้องไห้ตลอดเวลา อาจารย์ก็เลยพาเราใส่พระของอาจารย์อีกคน แล้วพาไปนอนในห้องพระของโรงเรียนโดยมีอาจารย์นอนเป็นเพื่อนจนเช้า

เหตุการณ์นี้ดังมากในวันที่ไปเข้าค่าย และได้มีการยกเลิกเข้าเวรยามกลางคืนทั้งหมดทันที เรานอนห้องพระอีกคืนเพราะความกลัว และอาจารย์คนที่เดินมาหาตอนที่เพื่อนยืนกอดเราไว้ เพื่อไม่ให้วิ่งหนีคืนนั้นมาเล่าทีหลังว่า วันที่แกเดินมาหาเราแกมองเห็นเราเป็นคนอื่นตาขวางและดุมาก เลยไปตามอาจารย์อีกคนมา 

วันที่แม่มารับเราจึงเล่าให้แม่ฟัง อาจารย์ที่ปรึกษาและอีกหลาย ๆ คนจึงบอกว่าให้ไปหาพระ วันที่กลับบ้านเรากับแม่จึงไปซื้อชุดแบบของอิสลามไปยังสุเหร่า เพื่อนๆเชื่อไหมว่าเรายังไม่ได้เอ่ยปากบอกอะไรเขาซักคำ โต๊ะอิหม่ามเอ่ยขึ้นมาว่าพาใครมาด้วย ชายหญิงสองคนนั้นชวนเขามาหรอ หนูเลยบอกว่าป่าวค่ะ แล้วรีบเล่าให้ฟัง 

โต๊ะอีหม่ามบอกว่าดวงเราไม่ดีที่เห็นนั้นเป็นพ่อแม่เก่าของเรา เขาจะเอากลับไปอยู่ด้วยเขารอมานาน โต๊ะอีหม่ามหันไปบอกกับแม่ว่าเด็กคนนี้อายุ 15 ปีมันก็ตาย ตอนนั้นแม่เราร้องไห้ออกมาเลยค่ะ เราก็กลัวมาก โต๊ะอีหม่ามได้เอาน้ำอะไรสักอย่างขึ้นมาเขียนๆลงในใบพลูสดให้เราเคี้ยวแล้วกลืน เราก็เคี้ยว แต่ปากของเราไหม้หมดเลยทำให้กินข้าวไม่ได้อยู่หลายวัน แต่เรากับแม่ก็ยังไม่หายข้องใจ จึงไปหาพระที่วัดกันอีก

หลังจากวันนั้น 3 วัน เหตุการณ์เหมือนเดิมค่ะ ก้าวเข้าไปในศาลาวัดหลวงพ่อท่านก็เอ่ยปากอีกว่า พาใครมาด้วยละโยม เราร้องไห้เลยด้วยความกลัว พระก็พูดเหมือนโต๊ะอีหม่ามว่านั่นคือพ่อแม่เขา เราจะมีอายุแค่ 15 ปี ก็เลยทำสังฆทานกับหลวงพ่อ ทำบังสกุลเป็น บังสกุลตาย ที่สุดท้ายที่จะพึ่งคือพระจีนค่ะ (ที่ภูเก็ตจะมีการทรงเจ้าค่ะแบบตอนเทศกาลกินเจ) 

มีพ่อพี่ที่เคารพเขาลงพระอยู่ เราเลยแวะไปหาเขาหลังจากกลับจากที่วัด เราจอดรถ ก้าวลงจากรถยังไม่ทันก้าวเข้าบ้าน สาบานเลยจริงๆ พ่อของพี่เขานั่งกินข้าวอยู่ จู่ๆก็ลงพระทันที พี่ๆในบ้านเขาก็งงว่าทำไม จึงหาชุดของพระท่านมาให้ใส่ แล้วเขาก็ทักมาอีกว่านั่นคือพ่อแม่เขายังไงก็แล้วแต่ เด็กคนนี้ 15 ปีก็จะต้องตาย ตอนนั้นเรากลัวมาก เพราะ 3 ครั้งแล้วที่โดนทัก 

พระท่านบอกว่าให้ทำพิธียกเราให้เป็นลูกของพระจีน แล้วทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์แบบจีน และมีการเผาตุ๊กตากระดาษไปให้สองคนนั้นแทน โดยการที่ให้แม่บอกว่านี่คือลูกของเธอ ส่วนนี่ลูกของฉันให้ขาดจากกันนับต่อจากนี้ พระก็ทำพิธีให้ค่ะ ณ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่ายกให้เป็นลูกพระจีนคืออะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปี เราอายุ 14  

ช่วงนั้นเราเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก ทั้งจมน้ำ และรถชน แต่ละครั้งรอดมาอย่างหวุดหวิดแทบทั้งสิ้น จนกระทั่งช่วงกินเจเราไปนั่งกินข้าวอยู่หน้าศาลเจ้า เราได้ยินเสียงกลองโลก้อ (กลองที่ใช้ตีในพิธีกินเจ) ลั่นดังขึ้นตอนนั้นเราเหมือนวูบไป รู้สึกตัวอีกทีคือไปตื่นอยู่หน้าโต๊ะพระบนศาลเจ้า เราเพิ่งจะมารู้ ณ ตอนนั้นว่าการที่ยกให้เป็นลูกของพระจีนคือ การที่ต้องมาเป็นม้าทรงรับใช้เจ้า เพื่อแลกกับการต่ออายุขัย  แต่พอเรายอมรับการเป็นม้าทรงรับใช้ เราก็มีอายุถึงจนทุกวันนี้ค่ะ 29 ปีแล้ว 

เหตุการณ์วันนั้นทำให้เรากลัวมาก และทำให้ชีวิตเราพลิกผันมาเป็นม้าทรงแบบไม่เต็มใจนักในตอนนั้นเพราะเรากลัวประทัดมาก แต่ปัจจุบันเราศรัทธามากค่ะ เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์มันจะเกี่ยวโยงกันไหมแต่เราสบายใจขึ้น เรื่องแบบนี้คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ต่อเรื่องที่ 2 อีกหน่อย เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจากที่เจอผีในค่ายเนตรนารี และในช่วงวัย 14 ที่เคยเล่าเอาไว้ว่าเราประสบอุบัติเหตุนั้น มันก็มีเรื่องแปลกๆที่เราเจอก่อนจะประสบอุบัติเหตุค่ะ บ้านเราอยู่จังหวัดภูเก็ต บ้านอยู่ติดทะเลตอนเด็กๆพ่อแม่เราทำงานอยู่ในโรงงานปลาป่นแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต (โรงงานปลาป่นคือโรงงานที่นำปลามาแปรรูปให้เป็นผงแห้งๆเพื่อส่งไปเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์)

บ้านพักของเรานั้นเป็นตึก 3 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นออฟฟิส ชั้น 2 เป็นส่วนห้องพักของพนักงาน ชั้น 3 จะเป็นดาดฟ้าแต่ก็มีการสร้างห้องพักพนักงานเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง เราโชคดีได้ห้องโถงใหญ่ชั้น 2 สามารถกั้นเป็นห้องได้ถึง 3ห้อง ให้เรากับน้องสาวอยู่ได้ จึงกั้นเป็น 3 ห้อง สำหรับพ่อแม่ 1 ห้อง เราและน้องสาว 1 ห้อง และอีก 1 ห้องให้เพื่อนสนิทพ่อที่พ่อชวนมาทำงานด้วยกันอยู่ 

ห้องนอนของเรากับห้องนอนของพ่อแม่ประตูห้องจะอยู่เยื้องกันเลย และห้องของเพื่อนพ่อจะอยู่ติดกับห้องพ่อค่ะ ตอนเด็กๆพ่อแม่ทำงานอยู่แพปลาซึ่งอยู่ติดทะเล เป็นคลองเดินทะเลมีเรือประมงมากมายจอดเทียบรอขึ้นปลาบ้าง รอเวลาเรือออกบ้าง ครอบครัวของเพื่อนพ่อจะมีลูกสาว 1 คน ชื่อน้องฝน เรากับน้องสาวและน้องฝนจะเล่นด้วยกันตลอดมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อเรากับพ่อของน้องฝนสนิทกันมากไปทำงานที่ไหนก็จะลากอีกคนให้ไปทำอยู่ด้วยกันตลอด ที่ตึกที่เราอยู่จะเป็นห้องน้ำรวมค่ะ จะอาบน้ำจะเข้าห้องน้ำก็จะต้องเดินออกไปเข้าซึ่งอยู่ภายในชั้นเดียวกัน

พอพ่อต่อเติมห้องให้เสร็จเรากับน้องสาวก็ตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยนอนแยกกับพ่อแม่ เปิดประตูห้องเข้าไปจะเจอเตียงนอนเราอยู่ขวามือติดกับหน้าต่าง ฝั่งตรงข้ามกับเตียงจะมีตู้เสื้อผ้าของเรากับน้อง ตอนนั้นยังเด็ก ของใช้ในห้องจะไม่มีอะไรมากนอกจากโต๊ะทำการบ้าน เตียงนอน และตู้เสื้อผ้า

คืนแรกที่เรานอนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ค่อยสะดวกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ เพราะโรงงานนี้มีกลิ่นค่อนข้างเหม็นพอสมควร คนอยู่แถวนั้นน่าจะรู้ดีถึงกลิ่น

จนผ่านไปหลายๆคืน เริ่มฝันเห็นผู้ชายตัวดำแบบดำมากๆดำแบบสีดำเลยค่ะตัวใหญ่ ตาแดงก่ำ นุ่งผ้าเตี่ยวสีแดง จะฝันแบบนี้อยู่บ่อยๆ ในฝันจะมาให้เห็นลักษณะยืนอยู่ไกลๆ แต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก เพราะตอนนั้นจะมีรายการเกี่ยวกับผีและเราก็ชอบดูมาก กลัวแต่ก็ชอบดู เลยคิดว่าสงสัยเก็บเอามาฝัน

จนมีอยู่คืนนึง ครั้งนี้เค้าไม่ได้มาให้เห็นแบบไกลๆ แต่เราฝันว่าเรานอนอยู่บนเตียงของเราและเรามองเห็น ผู้ชายร่างใหญ่ตัวดำมากแต่มีตาแดงก่ำแดงแบบสีเลือดเลยค่ะ นุ่งผ้าเตี่ยวสีแดง ไม่ใส่เสื้อนั่งยองๆอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า หัวเกือบจะติดเพดาน ทำท่าจะกระโจนลงมาใส่เราที่นอนอยู่บนเตียงนอนในฝันนั้น เราขยับตัวไม่ได้ค่ะ และสายตาที่เค้าจ้องมาทางเรานั้นมันไม่มีกระพริบ มองด้วยสายตาดุดัน นั่งยองๆมองนิ่งๆแต่เหมือนพร้อมกระโจนเข้าใส่ตลอดเวลา เราสะดุ้งตื่นขึ้นมากลัวมากแต่ไม่ร้องไห้เพราะมันเช้าแล้ว เราก็เล่าให้แม่ฟังค่ะ แม่บอกว่ากินมาก ขี้มาก ฝันมาก เราก็เลยไม่ถามอะไรต่อ

แต่หลังจากนั้นไม่นานเราประสบอุบัติเหตุแถวๆข้างบิ๊กซีในภูเก็ตตกลงไปในคลองชิดเชียว ซึ่งค่อนข้างสูงเหมือนกันและมีน้ำอยู่แค่คืบเดียวในตอนที่เราประสบอุบัติเหตุ ด้านล่างนั้นเป็นพื้นปูนซีเมนต์ตรงสุดขอบปูนจะมีเหล็กปล้องอ้อยโผล่ออกมาและพับให้งอขึ้นโผล่ไว้ เราตกลงไปในระหว่างเหล็กพอดีค่ะ ผลคือหลังเราหักจากการกระแทกและโดนเหล็กเสียบเข้าที่แก้มก้นเกือบทะลุกระเพาะปัสสาวะ เรารักษาตัวอยู่นาน2-3เดือน ใช้ชีวิตค่อนข้างลำบากเหมือนกัน ต้องใส่เกราะเหล็กไปโรงเรียนทุกวัน จนเพื่อนๆแซวว่าเกราะเพชร7สี หลังจากหายพ่อกับแม่ก็พาตระเวนทำบุญหลายวัดเลย

หลังจากนั้นผ่านไปหลายปี จนกระทั่งมีอาญาติทางฝั่งพ่อเขามาเยี่ยมพ่อ พ่อจึงให้นอนในห้องของเรา เรากับน้องสาวจึงต้องมานอนกับพ่อแม่ แต่พอตกกลางดึกน่าจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว เสียงประตูห้องก็ถูกเคาะรัวและดังมาก แม่จึงรีบไปเปิดประตูเห็นอาในสภาพเหงื่อแตกหน้าซีดและร้องบอกว่าผมนอนด้วย ผมขอนอนด้วย ตอนนั้นดึกมากแล้ว แม่จึงเอาหมอนกับผ้าห่มให้อามานอนตรงหน้าโทรทัศน์ข้างล่างเตียง

เช้ามาพ่อกับแม่เลยถามว่าเมื่อคืนมีอะไรทำไมถึงต้องทำท่าเหมือนตกใจขนาดนั้น อาเล่าให้ฟังว่าตอนอาหลับอาฝันเห็นผู้ชายตัวดำใหญ่ ตาแดงก่ำ เสื้อไม่ใส่นุ่งผ้าเตี่ยวแดง 3 คน อยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า (ตู้เสื้อผ้าเราค่อนข้างใหญ่ ใหญ่มาก รับมรดกมาจากแม่ซึ่งแม่เอามาจากไหนไม่รู้อีกทีเป็นตู้เก่าไม้แท้)

และจะกระโจนลงมาใส่อา อาตกใจตื่นแต่ตอนลืมตาขึ้นมาอาก็ยังเห็นภาพเหมือนในฝันอยู่ตามที่อาเล่า อาเลยตกใจแล้วรีบมาเคาะห้องขอนอนด้วย แม่กับเราเลยหันหน้ามามองกันและเราก็เลยเล่าให้อาฟังว่าเราก็เคยฝันเห็นเหมือนกัน และเช้านั้นอากลับอีสานทันที ทั้งที่เพิ่งจะมาถึงแค่คืนเดียว

ปัจจุบันเราไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว จนทุกวันนี้เราก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าคนที่เราฝันถึงและที่อาเราเห็นนั้นเขาเป็นใคร เกี่ยวข้องกับการที่เราเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือไม่ แต่ยายของเราเคยเล่าให้ฟังว่าตอนมานอนที่บ้านเรา ยายเดินไปอาบน้ำ ยายเห็นคนตัวดำสูงใหญ่แบบที่เราเห็นเดินตัดหน้าผ่านยายไป แต่ยายไม่กลัวผี เรื่องนี้ยายมาเล่าให้ฟังตอนหลังแล้วค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไม่มีการแต่งอะไรทั้งนั้นปัจจุบันตึกนั้นยังมีคนอาศัยอยู่ สถานที่นี้ถ้าบอกไปคนในพื้นที่ต้องร้องอ๋อแน่นอนคะ เพราะมีแค่ไม่กี่ที่ในภูเก็ต โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านค่ะ

ขอบคุณที่มาพันทิป Bunniiz_Oop

Previous articleอย่าแกล้งเพื่อน
Next articleความรัก คำสัญญา ความตาย