คนโดนไม่ได้ทำ

คนโดนไม่ได้ทำ
คนโดนไม่ได้ทำ

เรื่องเล่าของสามาชิกพันทิปท่านนึงที่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์แปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนเองได้ไม่เป็นคนทำ แต่คนทำกับไม่โดน

ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหา เราขอบอกก่อนเลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เล่านั้น เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์ในเรื่องเป็นเรื่องจริง เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงประมาณปี 61 ค่ะ เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเราจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ด้วย และไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้ สำหรับใครที่อ่านแล้วไม่เชื่อก็เลิกอ่านหรืออ่านเพื่อความสนุกคิดซะว่าอ่านนิยายก็แล้วกันนะคะ และถ้าใครอ่านแล้วรู้ว่าเราคือใคร รู้ว่าเรื่องเกิดที่ไหน ให้เงียบๆไว้เด้อ เริ่มกันเลยนะคะ

“น้องได้กลิ่นอะไรเน่าๆมั้ย แม่เหม็นมากอยู่ไม่ได้เลย”

“สงสัยงูมาติดตาข่ายรั้วตาพรมั้งคะแม่” นี่เป็นบทสนทนาของเรากับแม่ในช่วงนั้น ที่ทุกเช้าที่ตื่นนอนแม่มักจะบ่นเสมอ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากนัก เพราะปกติ งูมักจะมาติดตาข่ายรั้วของบ้านข้าง แล้วก็หลุดออกมาไม่ได้ ตายคาตาข่าย ส่งกลิ่นเหม็นเน่าจนกว่าซากจะแห้งไป ถ้าตัวใหญ่มากนักก็ไม่ตามเจ้าของบ้านมาเอาออก
“แม่ไปเดินดูแล้วก็ไม่เห็นนะ” แม่ยังคงบ่นอยู่เรื่อยๆ แล้วไม่ใช่แค่แม่ ไม่ว่าใครมาที่บ้าน ก็บ่นเหมือนๆกันหมด เราทั้งบ้านช่วยกันหาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรตาย จนกระทั่ง ..

ช่วงสายๆของวันนั้น แม่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว เราออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาเกือบเที่ยง แม่นั่งยิ้มกรุ่มกริ่ม เหมือนอารมณ์ดีอะไรมากสักอย่าง พอเราจอดรถก็รีบเรียกเราเข้าไปหา

“เมื่อกี้ตาพรเจ้าของสวนยางข้างหลังเดินมาหาแม่ ถามว่าช่วงก่อนหน้าได้กลิ่นอะไรเราเน่าๆมั้ย ก่อนจะชวนไปดูที่บ่อน้ำข้างหลังบ้าน พอไปดูก็เห็นกางเกงที่คล้ายกางเกงชุดนอนลอยขึ้นมา เหนือน้ำ มีหนอนยุบยับ” แม่เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เท่านั้นแหละ เราวางของทุกอย่าง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่บ่อน้ำในสวนยางของคุณตาคนนั้น

บ่อน้ำนี้เป็นบ่อน้ำเก่า เป็นบ่อแรกๆของหมู่บ้าน ที่เมื่อก่อนเป็นบ่อดิน ก่อนจะโดนรีโนเวทใหม่เป็นบ่อปูนทั่วๆไป เราวิ่งไปชะโงกหน้าดูในบ่อ ก่อนจะร้องออกมาว่า เ ี้ย เพราะทันทีที่เห็นกางเกงตัวนั้นก็รู้เลยว่าของใคร และมันคือของๆคนใกล้ตัว ทีนี้ตาเจ้าของสวนก็ไม่นิ่งเฉย ไปตามคนมาดู ก่อนจะเอาเครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำออกจากบ่อ เพราะเขามั่นใจว่าไม่ใช่แค่กางเกงที่ตกลงไปแน่ๆ และเพราะสิ่งที่แม่เราเป็นคนยืนยันว่าได้กลิ่นเน่าๆ แต่ไม่เจอว่ามาจากอะไร

เครื่องสูบน้ำสูบขึ้นมาเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เรายืนดูทุกขั้นนตอนไม่ไปไหน เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มันจะตรงกันรึเปล่า ก่อนที่น้ำจะหมดบ่อ พอให้เห็นอะไรได้บ้าง ลูกชายของตาเจ้าของสวน เอาตะแกรงตั้งเศษซากใบไม้กิ่งไม้ขึ้นมา แต่สิ่งที่ได้มาด้วยมันไม่ใช่แค่นั้น กระดูกเล็กใหญ่ กระดูกส่วนศรีษะ ขึ้นมาเต็มตะแกรง ชาวบ้านที่มามุงดูต่างต้องผงะกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะพากันวิพากวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ แต่สิ่งที่ออกมาเหมือนๆกันคือ นี่มันกระดูกเด็กทารก ที่ไม่รู้ว่าทำแท้งหรือคลอดออกมาแล้วเอามาทิ้ง เจ้าของสวนเจ้าของบ่อน้ำ หน้าตาเครียดอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนเราในตอนนั้นได้แต่อึ้งๆ ประติดประต่อเรื่องราวต่างๆ ทั้งกางเกง ทั้งกระดูก ทั้งความน่าจะเป็น
“กางเกงตัวนั้นฉันเคยเห็น” “คิดว่าทำแบบนี้คนเขาจะไม่รู้เหรอ” “คนเคยอ้วนพุงเยอะขนาดนั้น หายไปแค่สามสี่วัน กลับมาผอมเพรียว” “ทำแบบนี้มันไม่ตายดีหรอก”
หลากหลายคำพูดของชาวบ้านเกือบหมดหมู่บ้านที่มามุ่งดู สาปแช่งก่นด่าต่างๆนาๆ เพราะทุกคนต่างพอจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ และกระดูกที่เห็นต่อให้ไม่ต้องเป็นแพทย์เฉพาะทางก็ดูออกว่ากระดูกคนไม่ใช้กระดูกของสัตว์ เราได้แต่ยืนเงียบฟังคำสาปแช่ง และนึกโกรธและรังเกียจคนทำ เพราะเป็นคนใกล้ตัวที่ใกล้แบบมากๆของเรา

..ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของคนที่ทำที่คนทั้งหมู่บ้านมั่นใจว่าเป็นคนทำ รู้ค่ะว่าพวกเราไม่มีหลักฐาน แต่ถ้านำเรื่องทุกอย่างมาประติดประต่อกัน มันอดคิดไม่ได้จริงๆ

บีม(นามสมมุตินะคะ บีมเป็นเพื่อนสนิทเราค่ะ อยู่บ้านใกล้กัน บีมมาเที่ยวบ้านเราบ่อยๆ แต่ตั้งแต่ช่วงเดือน กุมภา แม่ของเราเองเริ่มถามเราแปลกๆ ว่าทำไมท้องบีมโตขึ้นเรื่อยๆแบบนั้น อย่างกับคนท้อง เราก็ได้แต่เถียงแม่ว่า บ้าเหรอแม่ จะท้องได้ไงมันแค่อ้วน แม่ก็เงียบๆไป บีมก็ยังมาที่บ้านเราไปไหนมาไหนกับเราเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียงลือว่าบีมท้องเริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากคนแถวบ้าน จากน้าเรา และ เพื่อนสนิทอีกคนของเรา มันทำให้เราเริ่มสังเกตบีมมากขึ้น เลยพบความผิดปกติในตัวบีม มันไม่ใช่แค่หน้าท้องที่โตขึ้นจากเมื่อก่อนช่วงปลายปีเยอะมาก ทั้งหน้าตาของบีมที่ซีดเซียว และท่าทางของบีมที่ดูเหนื่อยๆ

เราอยากรู้มากๆว่าความจริงเป็นยังไง ครั้นจะถามก็กลัวว่าบีมจะโกรธ เราเลยได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แบบนั้น และพยายามปกป้องบีมจากคำพูดของแม่ ที่มักจะสงสัยและแอบมองบีมอยู่บ่อยครั้ง ร่วมทั้งเวลาที่แม่ไปฟังเรื่องของบีมมากจากใคร เราก็มักจะโกรธคนพวกนั้นว่าทำไมต้องใส่ร้ายเพื่อนเรา

จนกระทั่ง มิตรภาพระหว่างเรากับบีมแตกหัก (ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้นะคะ แต่เป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องอื่น) เราทะเลาะกับบีมและเพื่อนอีกคน เราโกรธบีมมาก ตะโกนด่ากัน จนเลิกเป็นเพื่อนกันไปจนถึงทุกวันนี้

และเราเริ่มจ้องจับผิดบีมมากขึ้น เนื่องจากบ้านอยู่ติดกันทุกเช้าที่ตื่นนอนเราจะมานั่งหน้าบ้านและมองไปทางบ้านบีมเพื่อให้นางออกมาเราจะได้สังเกตการกระทำต่างๆของนาง เพื่ออะไรก็ไม่รู้ ฮ่าๆ แต่ทำไปได้สักพักก็เลิก ใช้ชีวิตปกติ เจอก็ไม่ทัก ไม่มองหน้า จนพักหลังๆแม่มาบอกว่า “ช่วงนี้บีมมันหายไปไหน ไม่เห็นหน้าเลย” เราก็ไม่ได้ตอบอะไรไป ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ก็เกลียดอะนะ แต่นางหายไปจริงๆค่ะ หายไปแบบไม่เห็นไม่พบเลย ตอนเช้าก็ไม่เจอแล้ว

จนเช้าวันนั้น แม่เราตื่นแต่เช้ามาเล่นกับหลานสาว(เจ้แกเห่อค่ะตื่นเช้าทุกวัน เลยมักเจออะไรดี แล้วปลุกลูกตลอด) แม่เรามาเคาะประตูห้องให้เราลุก โดยไม่บอกตรงๆว่าให้ลุกไปดูอะไร บอกแค่ “น้องตื่นเร็ว ลุกมาดูอะไรนี่” ถามว่าเราอยากรู้มั้ย ตอนได้ยิน อยากรู้นะคะ แต่ง่วงค่ะ ขอนอนก่อน เลยพลาดไป

และอีกวันเราออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน หันไปบ้านข้างๆ ต้องขมวดคิ้วด้วยความงง บีมจ้า นางผอมสวย ผอมกว่าเราอีก นางลดความอ้วนมาเหรอ บ้า ลดได้ไงหน้าท้องขนาดนั้น แล้วไม่เจอกันแค่สี่ห้าวันนี่นะ เรารีบวิ่งไปถามแม่เลยค่ะ แม่เลยบอกว่า เรียกให้มาดูตั้งแต่เช้า ไม่ยอมตื่น

ช่วงนั้น นางใช้ชีวิตแบบมั่นใจมาก อ้อ ลืมบอก ตอนพุงนางเยอะๆ นางจะมีผ้าขนหนูคลุมไว้ที่ท้องแทบตลอด นี่เลยเป็นเหตุให้คนเอาไปพูดว่านางน่าจะปิดเพราะอาย แต่พอผอมปุ๊ปผ้าหายไปเลยจ้า ไม่ทะ..เอ้ย ไม่อ้วนแล้วเนอะ ปิดทำไม หุ่นดีย์

แล้วตอนนั้นคนในหมู่บ้านก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา มาสงสัยและคาดเดา ว่าทำไมนางผอม บลาๆๆๆ กัน แม่เราก็เอามาบอกเราเหมือนตอนสงสัยว่าท้องนั้นแหละค่ะ จนคนเลิกพูดเลิกสนใจ แล้วเรื่องก็บูมอีกครั้งตอนเจอกระดูก

…เอาล่ะ วกกลับมาเรื่องกระดูกกันอีกครั้งเด้อ… หลังจากตักได้เศษซากกระดูก ผู้คนก็ต่างคาดเดา เจ้าของสวนอย่างคุณลุงเลยโทรเรียกตำรวจ เรียกนายบ้าน ทุกคนที่ควรจะรับรู้เรื่องนี้ให้มารับทราบ และเรื่องก็จบที่ตำรวจเอาเศษกระดูกพวกนั้นไปให้สถาบันที่มหาลัยชื่อดังในสงขลา ช่วยตรวจสอบ เรื่องก็ซาๆไป แต่ที่ไม่ซาคือเรา ที่ยังงงเด้ๆ ว่าชั้นไปเกี่ยวอะไร ทำไมต้องมาเจอะมาเจอ

เวลาผ่านหลังจากวันนั้น เราก็เริ่มลืมๆไปบ้างแล้ว จนไม่กี่วันที่ผ่านมา ผลของกระดูกที่นำไปตรวจสอบก็ได้รับรู้ว่าคืออะไรกันแน่ เรารู้เพราะแม่นั้นแหละ น้ามาเล่าให้ท่านแม่ฟังเหมือนเคย ฮ่าๆ มันคือกระดูกเด็กทารกเพศชาย พอเรารู้เท่านั้นแหละ โอโห้ เรื่องที่ปะติดปะต่อไว้ก็คือ เริ่มชัดเจน บวกกับตอนไปซื้อของที่ร้านของตาเจ้าของสวน (บ้านเขาเปิดร้านขายของชำ) ภรรยาของตาเขาก็พอจะรู้และเดาตัวคนทำออก เปรยๆกับเราว่า บีมไม่เคยมาที่ร้านเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อบีมนะคะ แค่พูดเป็นนัยๆ ให้เราเดาออกมาว่าหมายถึงบีม

พอเรารู้เรื่องก็ได้แต่สาปแช่งคนทำ จิตใจทำด้วยอะไร ทำไมทำอะไรอุบาทๆแบบนี้ โกรธที่เอามาทิ้งไว้หลังบ้านเนี้ย และเรื่องที่เราเจอก็มาเพราะการกระทำจากการกระทำอันสิ้นคิดของคนๆเดียว

หลังจากไม่กี่วันที่ทราบว่าคือกระดูกอะไรยังไง เรื่องก็เริ่มขึ้นกับเราทันที บอกก่อนนะคะว่า เราไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้ว รู้ก็คือรู้ ไม่ได้คิดอะไร

จนกระทั่งคืนแรก ..เราเป็นคนนอนดึกค่ะ ตีสองตีสามหรือไม่นอนเลย เพราะเป็นคนหลับยาก ช่วงเวลากลางคืน เราก็นอนไถทวิต อ่านพันทิป เล่นโซเชี่ยลไปเรื่อยๆ ของเรา ลักษณะที่นอนของเราทางหัวนอนจะอยู่ติดหน้าต่าง ห้องนอนเรานอกบ้านอยู่ทางเดียวกับบ่อน้ำที่เกิดเหตุ แต่เราไม่ได้กลัวหรือคิดอะไรนะคะ เพราะปกติไม่คิดอะไรกับเรื่องแบบนี้ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะหน้าต่าง หน้าต่างห้องนอนเป็นกระจก เสียงก็จะดัง กึกๆ ครั้งแรกเราไม่ได้สนใจ แต่เสียงยังดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มทนไม่ไหวเลยลุกขึ้นเปิดม่านดู ก็ไม่เห็นอะไร เลยล้มตัวลงนอนต่อ ในตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเป็นผีหรืออะไรเลย คิดแค่ว่าวัยรุ่นขี้ยาแถวบ้านจะมาแกล้งรึเปล่า คืนนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากเสียงเคาะค่ะ จนรุ่งเช้า เราตื่นมาเห็นแม่นั่งกินกาแฟเล่นกับหลานเหมือนทุกวัน เราก็เข้าไปนั่งข้างๆ นี่เป็นบทสนทนาของเรากับแม่ อาจจะไม่เป๊ะทุกคำ แต่เราจะพิมพ์ให้ทุกคนอ่านเข้าใจนะคะ

“น้อง เมื่อคืนหลับได้มั้ย”

“ก้หลับช่วงตีห้าแล้ว แม่มีไร”

“ตอนนั้นแม่หลับไปแล้ว แต่ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ คิดว่าหลาน แต่พอลุกมาดูหลานก็หลับไม่ได้ตื่นมาร้อง” เราเงียบค่ะ ไม่ได้ตอบอะไร เลยถามกลับไปว่าแม่ได้ยินช่วงตีเท่าไหร่

“แม่ได้ยินตีเท่าไหร่”

“ตีสาม” เราเลยนึกย้อนไปตอนเสียงเคาะ ซึ่งเวลามันตรงกัน ตอนนั้นเริ่มคิดว่ามันจะเกี่ยวกันรึเปล่า แต่เราไม่ได้บอกหรือเล่าแม่ไปนะคะ เพราะกลัวท่านคิดมาก หลังจากนั้น อีกวันเป็นวันพระ เรากับแม่เลยพากันไปทำบุญ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความพีค หลังทำบุญเสร็จกำลังจะกลับ แม่เราเห็นว่าสายสินที่มือเราเริ่มเก่า เลยจะพาไปขอเส้นใหม่ที่หลวงตา เราทั้งคู่เลยพากันเดินไปที่กุฎิหลวงตารูปนั้น ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนกุฎิ กราบพระอะไรกันเสร็จ หลวงตาเงียบไปสักครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงใจเย็น

“โยม มีเด็กตามโยมอยู่นะ” ณ ตอนนั้น ตัวเราชาวาบเลยค่ะ เด็กที่ไหน เด็กอะไร ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา หันไปมองแม่ คุณผู้หญิงเขาหน้าเครียดกว่าเราอีกค่ะ ก่อนจะยกมือถามหลวงตา ว่าอะไรยังไง เราได้แต่นั่งเงียบ

“ เด็กที่ไหนเจ้าคะ”

“เขาไม่ใช่ลูกโยมใช่มั้ยล่ะ” ประโยคนี้ หลวงตาถามเราค่ะ เราส่ายหน้าหวือ แค่แฟนยังไม่มี จะไปมีลูกได้ไงล่ะ ฮ่าๆ

“ไม่ต้องกลัวๆ เขาไม่ทำอะไรหรอกโยมไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา แค่อยู่ใกล้จุดที่มีคนเอาร่างเขาไปทิ้ง แล้วประจวบกับช่วงนี้โยมจิตอ่อน เลยทำให้เขาเข้าถึงโยมได้ง่ายๆ ทำบุญให้เขาเยอะๆนะโยม” หลวงตาบอกก่อนจะประน้ำมนต์ในขันให้เรากับแม่ แล้ววางด้ายสายสินให้เราที่พื้นตรงหน้า

และคืนนั้น เหมือนกับว่าพอไปทำบุญทำให้เราสื่อกับเด็กคนนั้นได้ชัดขึ้น กลางดึกคืนนั้นเราก็นอนเล่นโซเชี่ยลตามปกติ ใส่หูฟัง ฟังเพลง แต่เปิดเสียงไม่ดังมาก ทำให้พอจะได้ยินเสียงข้างนอกได้อยู่ เราได้ยินเสียงหัวเราะค่ะ เสียงแบบเด็กน้อยที่หัวเราะร่าเวลามีใครมาเล่นด้วยนั่นแหละ ตอนแรกเราคิดว่า หูฝาดหรืออาจจะเป็นซาวด์ในเพลง แต่พอตั้งใจฟังดูอีกที ไม่ใช่แล้ว นี่มันเสียงจากข้างนอก เราถอดหูฟังออกทั้งสองข้าง เสียงหัวเราะยังชัดเจนอยู่ เราเลยแกล้งกระแอ้มเสียงเบาๆ ให้เขารู้ว่าเราได้ยินแล้วนะ และเสียงก็เงียบไปจริงๆ พอมองไปรอบห้อง รอดูว่าจะมีอะไรมาโชว์กันอีกมั้ย ประมาณเกือบสิบนาที ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็เลยตัดสินใจ พูดขึ้นมาเบาๆ

“ถ้าจะให้ชวนอะไรก็มาเข้าฝัน มาบอก อย่ามาแค่เสียงอะไรแบบนี้ เพราะไม่รู้จะช่วยยังไง” เราบอกแค่นั้น ก่อนจะล้มตัวลงเล่นโทรศัพท์ต่อ เราเข้านอนประมาณเกือบตีสี่ได้ และเราก็ฝันจริงๆค่ะ ในฝันสถานที่คือ บ่อน้ำหลังบ้านที่เกิดเหตุ เรายืนอยู่ตรงบ่อ เหมือนชะโงกหน้าลงไป และเด็กคนนั้น ก็นอนอยู่ในบ่อ ลึกลงไป สภาพคือนอนดิ้นแบบทุรนทุราย ส่งเสียงร้องไห้แบบทรมาณที่อยู่ตรงนั้น เป็นเด็กทารกอ่ะ ทุกคนน่าจะพอนึกออกนะคะ เด็กแบบน่าจะแรกเกิดเลย และเขายังพูดหรือสื่อสารอะไรไม่ได้ ในฝันเราได้แต่ก้มมอง แล้วร้องไห้ เพราะไม่รู้จะช่วยยังไง ก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก เพราะมีเรียนเช้า พอจับดูหน้าตัวเอง เลยรู้ว่าร้องไห้จริงๆ

วันนั้นทั้งวันเราเรียนไม่รู้เรื่อง เพราะเอาแต่คิดมากเรื่องความฝัน อ้อ เรายังไม่เล่าให้แม่ฟังนะคะ เพราะตื่นเช้ามาวันนั้นเราไม่ได้เจอแม่ กลับมาเล่าตอนเย็น ก็โดนดุไปนิดหน่อย ว่าทำไมไม่โทรมาบอกตอนกลางวัน จะได้ไปหาตาเจ้าของบ่อ เขาจะได้หาทางแก้ไข

เรื่องนี้ไม่จบค่ะ เพราะทุกกลางดึก เรายังได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้น พอหลับก็ฝัน แล้วก็จะฝันแบบนั้นแทบทุกครั้ง วนๆอยู่แบบนั้น จนแม่เราไปพูดกับเจ้าของบ่อน้ำ บอกให้นิมนต์พระมาทำบุญเถอะ แล้วก็เล่าเหตุการณ์ที่เราเจอให้เขาฟัง พอทั้งหมดได้ฟังเท่านั้นแหละ ทุกคนทำหน้าตกใจ ก่อนจะเริ่มเล่า ว่าหลังจากรู้ว่าเป็นกระดูกของเด็ก เขาก็เจอเหตุการณ์คล้ายกับเราแต่ไม่ใช่เสียงหัวเราะ เป็นแค่ความฝันที่เหมือนจริงเอามากๆ และวนอยู่แบบนั้นเหมือนกับเรา เพราะทุกคนรู้สึกว่าเรื่องเริ่มบานปลาย เลยตัดสินใจหาพระหาเจ้ามาทำพิธีกรรมทางศาสนา

วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันพระ แต่ก่อนคืนวันพระ คือวันเสาร์เราเจอหนักมาค่ะ ทั้งเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ของเด็กทารกที่ร้องแบบทรมาณ สลับกันไปมา คือ พูดง่ายๆว่า นอนไม่ได้เลยทั้งคืน โชคดีที่เป็นคนนอนไม่ค่อยหลับ เลยไม่ทรมานกับความง่วงมากเท่าไหร่ วันรุ่งขึ้น ตากับยายและครอบครัวเจ้าของสวน รวมทั้งคนเกือบทั้งชุมชน พากันมาร่วมทำบุญให้เด็กคนนั้น และที่ขาดไม่ได้เลยคือ เด็กวัยรุ่นแถวบ้าน ทั้งวัยใกล้ๆเรา และ เด็กประถม ลูกเด็กเล็กแดง มากันเกือบทั้งหมด แต่คนที่เรามองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ คือ บีม ที่ปกติ จะอยู่แทบทุกงาน ทุกเรื่อง และไม่เคยพลาดอะไรแบบนี้ แต่วันนี้กลับไม่อยู่ ทั้งๆที่เพื่อนสนิทสุดซี้ อย่างจิ๊บ ก็มา แต่อาจจะติดธุระเน๊อะ ไม่ว่ากั๊น หึหึ

การทำบุญก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ ก่อนกลับ ตากับยาย เรียกเราไปพรมน้ำมนต์จากหลวงตา เพื่อความสบายใจ เราก็ไปแม่กับหลานก็ไปด้วย พอเราไปเข้าไป หลวงตาก็ทัก ทีนี้น้ำเสียงดูท่าทางหนักใจอย่างเห็นได้ชัด

“โยมคนนี้รู้จักและสนิทกันดีกับแม่เด็ก ทั้งยังมีท่าทางเป็นห่วงเด็กคนนี้ตอนเขาอยู่ในท้อง เขาเลยหวังพึ่งโยมนะ และดูท่าเหมือนจะตาม จนกว่าคนทำจะได้รับกรรมที่ทำ และเขาอยากให้โยมช่วย ถ้าพอจะรู้ตัวคนทำก็รีบหาทางนะโยม” หลวงตาพูดเสร็จก็พรมน้ำมนต์ให้กับทุกคนบริเวณนั้น เราได้แต่นั่งตัวชากับสิ่งที่ได้ยิน เพราะก็อยากช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะเด็กคนนี้ วิญญาณเขาเด็กมาก ก็เด็กแรกเกิดน่ะนะ จะสื่อสารกันรู้เรื่องได้ยังไง เราคิดวนไปต่างๆนาๆ พยายามคิดหาทางที่จะหลุดพ้นไปจากเรื่องนี้แต่ก็ยังคิดไม่ตก

เล่าเหตุการณ์ตอนสงสัยเริ่มรู้ว่าบีมน่าจะท้องจริง… ที่หลวงตาบอกว่าเราเป็นห่วงเด็กคนนั้น ใช่ค่ะ เราบ่นกับแม่บ่อยๆ ว่าถ้าสมมุติเด็กคลอด ออกมาบีมจะเลี้ยงได้ยังไง เนื่องจาก ครอบครัวบีมค่อนข้างยากจน และบีมเป็นเด็กที่เอาตรงๆคือ ไม่เอาไหน เที่ยวเตร่ไปกับคนโน้นคนนี้ ใช้ชีวิตไร้สาระ พ่อแม่แยกทางกัน พ่อก็ไม่สนใจ มีการงานทำก็จริงแต่เงินเดือนก็ไม่ได้พอใช้ เลิกงานมาก็นั่งกินเหล้าไปวันๆ ชีวิตบีมตอนนั้นถ้าคลอดลูกออกมาลำบากทั้งแม่ทั้งลูกแน่ (พ่อเด็กนี่เราก็ไม่แน่ใจว่าใครนะคะ) มีทางเดียวที่จะรอดคือ ไปอยู่กับแม่ของเขา อันนี้เราไม่แน่ใจว่าพวกเขาคิดวิธีแก้ปัญหากันยังไงนะคะ ถึงได้มาจบลงแบบนี้

อ้อ นอกจากวันที่ทำบุญจะไม่เห็นบีมแล้ว ญาติๆของบีม ที่เป็นญาติใกล้ๆสนิทชิดเชื้อ ไม่มีใครมาเลยสักคน ถ้าจะบอกว่าไม่รู้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเรื่องนี้ดังมากในหมู่บ้าน และญาติห่างๆก็มากันเกือบทุกคน แถมเจ้าของบ่อก็เป็นญาติๆกันทั้งนั้น แต่ก็เนอะ อาจจะติดธุระแหละ

ก็อย่างที่บอกค่ะว่าหลังทำบุญอะไรเสร็จเรียบร้อย เราก็ไม่อาจหลีกหนีจากเด็กคนนี้ได้ ทุกคืนหลังจากนั้น ปกติที่หลับยากหลับเย็นอยู่แล้ว ก็คือไม่ได้นอนเลย เพราะความหวาดผวาของเราที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อยแทบจะทุกคืน ไม่มีคืนในเว้นเลย ดังแล้วก็เงียบ สักพักก็กลับมาดังอีก วนๆไปอย่างนี้ จนบางคืนทนไม่ไหวเราก็ร้องไห้

แม่เราก็เป็นห่วง จะมานอนเป็นเพื่อนก็ต้องเอาหลานมาด้วย เราเลยบอกว่าเราโอเค เราไหว ตราบใดที่ไม่มาปรากฎเป็นตัวเป็นตน เรายังโอเค เพื่อให้แม่เราสบายใจขึ้นมาบ้าง ช่วงหลังๆเราเริ่มเล่าให้เจ้ เป็นพี่ที่สนิทของเราที่รู้จักันผ่านโซเชี่ยลฟัง ด้วยความเป็นห่วง ทุกคืน เจ้และกลุ่มเพื่อนเราอีกสี่ห้าคน เลยวีดีโอคอลหรือโฟนสายคุยกัน เพื่อให้เราได้อุ่นใจว่ามีเพื่อนอยู่ ช่วงนั้นเราก็ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ชวนประสาทแบบนั้นตลอดค่ะ แต่แปลก เวลาเราได้ยินเสียงหัวเราะ เพื่อนที่อยู่ในสายไม่มีใครได้ยินเลยสักคนเดียว

เหตุการณ์ต่อมาอันนี้เริ่มพีคสุดกับเราแล้วค่ะ วันนั้นวันพระ เราไปเดินห้างคนเดียว ย้ำ ว่าไปคนเดียว เราเดินดูของไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินผ่านโต๊ะขายขนมปัง มีคุณยายท่าทางเหมือนอาม่านิดนึง อายุน่าจะราวๆ หกสิบเจ็ดสิบ ยืนเลือกอยู่ก่อน พอเราเดินเข้าไป คุณยายหันมามองเราก่อนจะยิ้มให้อย่างใจดี เราก็ยิ้มตอบก่อนจะตรงไปเลือกขนมปัง ไม่ได้สนใจอะไร เราชี้ๆเลือกๆ อยู่ประมาณเกือบสามสี่นาที จนใส่ถุงเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินออกมา ก็ยังเห็นคุณยายยืนอยู่ไม่ห่างจากร้าน ก่อนจะเดินตรงมาหาเรา

“หนูจ้ะ ยายขอคุยด้วยแป๊ปเดียว” ในใจเราตอนนั้น คือคิดว่า จะมาชวนดูดวงหรือขายอะไรรึเปล่า แต่เราคิดผิดค่ะ ทันทีที่คุณยายลากเรามาที่มุมๆ นึง แกพูดกับเราเบาๆ เหมือนกลัวใครจะได้ยิน แต่เดี๋ยวค่ะยาย ตรงนี้แทบไม่มีใครผ่านเลยเด้อออ

“เด็กที่ตามหนูอยู่ดูแค้นมาก หนูฆ่าเขาเหรอ ฆ่าเขายังไง บอกยายให้ยายช่วย” ยายพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ ซึ่งเราเริ่มฉุนๆนิดหน่อย เพราะเราไม่ได้ทำ ก่อนจะข่มใจอธิบาย ก็เข้าใจนะว่ายายไม่รู้

“หนูไม่ได้ฆ่าหรือทำอะไรเขาค่ะยาย”

“อย่าโกหกยายสิ ยายรู้ ยายเห็น” จ้ายายเห็นแค่เด็กแต่ยายไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด เป็นอีกครั้งที่เรายังพยายามข่มใจจะเล่าต่อ

“คืองี้ค่ะยาย เด็กคนนี้โดนคนอื่นทำมา แต่เขามาตามหนู เพราะสถานที่ที่เขาโดนทำร้ายหรือวิญญาณเข้าติดอยู่มันใกล้บ้านหนู แถมช่วงที่คนเป็นแม่เขาท้องหนูดันไปผูกใจเป็นห่วง เขาเลยหวังให้หนูช่วยเขา แล้วตราบใดที่คนทำยังไม่รับกรรม เขาก็จะตามหนูไปเรื่อยๆแบบนี้ ว่าไงคะ ยายช่วยได้เหรอ งั้นหนูขอร้องให้ช่วยจะได้มั้ยคะ” ประโยคสุดท้ายเราพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนคุณยาย

ยายพยักหน้าช้า ก่อนจะมองหน้าเรานิ่งๆ เราอ่านสายตายายไม่ออก เรายืนสบตากันอยู่แบบนั้น เพื่อรอคำตอบของอีกฝ่าย บอกเลยตอนนั้นลุ้นมาก ถ้ายายช่วยได้คือมันดีกับเรามากจริงๆนะ กับการต้องเจอสงครามประสาทกับเด็กคนนั้นแทบทุกคืน สภาพเราช่วงนั้น โทรมมาก ถ้าไม่แต่งหน้าหรือดูแลตัวเอง คือพังมากบอกเลย

วันนั้นการสบตาของเรากับยายจบลงตรงเราเล่ารายละเอียดต่างๆให้ยายฟัง ก่อนจะแลกเบอร์โทรกันไว้ โดยยายบอกว่าถ้าไม่ไหวแล้ว แบบสุดแล้วจริงๆ ให้โทรนัดเจอยายที่บ้านได้เลย เพื่อจะได้สะดวกๆ

คืนนั้นก็สเต็ปเดิม กลางดึกเราโฟนคุยกับกลุ่มเพื่อน แล้วก็นอนฟังเสียงหัวเราะไปด้วยความเกือบจะชิน ก่อนจะเผลอหลับไป ใช่ค่ะทุกคน คืนนี้ดิชั้นได้นอน เว้นแต่ว่า…เราสะลึมสะลือรู้สึกตัวแต่ก็เหมือนกับละเมอมากว่า แต่คือก็รู้สึกตัวอ่ะ งงมั้ย เอ้อ เราก็งง แต่ตอนนั้น รู้สึกแบบนี้จริงๆ เรารู้สึกเบาะข้างๆเรามันสะเทือน เหมือนมีเท้าใครมากระทืบหรือดิ้นอยู่ข้างๆ อ่ะ พอหันไปมองเท่านั้นแหละ ภาพตรงหน้าเราคือ เด็กค่ะ เด็ก!! สภาพดิ้นแต่ไม่ร้องไห้ กลับหัวเราะและดิ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีเวอร์ ทุกคนนนนแต่คือมันหลอนอ่ะ เสียงมันหลอน มันไม่ได้น่ารักอะไรเลยเว้ยยยย ตอนนั้นคือเรากรี๊ดดค่ะ กรี๊ดแบบสุดเสียง ตะโกนไปด้วยว่า ออกไปปป ออกไปปปป ทั้งกรี๊ดทั้งไล่ทั้งร้องไห้ น้ำตาไหลพรากๆไปเลยค่ะ มือก็ควานหาโทรศัพท์ เพราะสายยังโฟนอยู่กับเพื่อน ตอนนั้นเหมือนจะได้ยินเสียงเพื่อนผู้ชาย (แก๊งค์เราสายแข็งค่ะ โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่ยังโดดร่มตีป้อมกันอยู่) พวกมันคงได้ยินเสียงเราโวยวาย เลยถามกลับมา แต่ตอนนั้นเราไม่มีสติที่จะฟัง เรากรี๊ดหลับตา ดิ้นไปเรื่อยๆ จนแม่รีบเข้ามาดู แล้วกอดเราเอาไว้ บอกให้ใจเย็นๆ นั่นแหละค่ะสติจึงจะกลับมา หันไปมองข้างๆก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว

คืนนั้นแม่อยู่เป็นเพื่อนทั้งคืน แทบไม่ได้นอน พอตื่นเช้ามาเราเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังว่าเราเห็นอะไร หลังจากได้ฟังแม่จะพาเราไปวัด ไปหาหลวงตา เพื่อหาวิธีแก้ไข ให้เราหลุดพ้น คือทุกคนคิดดูนะ เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร กับการทำร้ายเขาทำไมเราต้องโดนอะไรแบบนี้ แต่เราปฏิเสธที่จะไป โดยบอกแม่ว่า แต่ก็ยังไม่ได้ไป เพราะเรามีสอบสำคัญ

วันนั้นเราสอบไม่รู้เรื่องค่ะ เพราะเรื่องเมื่อคืนน่ะแหละ แต่มันยังมีนอกเหนือจากนั้น เพราะเจ้าเด็กคนนั้น เหมือนอยากจะเล่นสงครามประสาทกับเรา หนูแกเล่นหัวเราะใส่เราทั้งสามสี่ชั่วโมงที่อยู่ในห้องสอบเลยค่ะ ทำให้สติเราหลุดอยู่บ่อยครั้ง เราทั้งโกรธทั้งอยากแช่งแต่กลัวจะยิ่งทำให้เรื่องที่มันแย่อยู่แล้ว จะยิ่งแย่เพิ่มไปอีก

หลังจากสอบเสร็จเราเลยตัดสินใจโทรหาคุณยายคนนั้น เพราะรู้สึกว่า นี่แหละ สุดจะทนเกินจะทนแล้ว เราโทรหาคุณยายก็รับแทบจะทันทีเหมือนกำลังรอเราโทรไป เราคุยตกลงนัดเจอกับยายเสร็จสรรพ โชคดีที่คุณยายสะดวกเจอวันนี้ได้เลย พอวางสายเราก็ตรงไปบ้านคุณยาย กับเพื่อนสนิทอีกสองคนทันที

ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงบ้านคุณยาย จากตอนแรกที่เจอกันคุณยายจะดูเป็นอาม่าใช่มั้ยค่ะ ใช่แล้วค่ะ คุณยายคืออาม่าจริงๆ เพราะบ้านของคุณยายเป็นบ้านของคนที่มีเชื้อสายจีนเลย แถมอยู่ใกล้ๆกับวัดจีนด้วย บรรยากาศเลยจะดูจีนๆ เลย เอาตรงๆเราชอบบรรยากาศแบบนี้นะคะ เดี๋ยวต่อไปจะเรียกคุณยายว่าอาม่าเด้ออ

อาม่าออกมารับเราสามคนเขาไปในบ้าน ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ก่อนจะพาไปนั่งในห้องสี่เหลี่ยมที่ดูเป็นส่วนตัว คล้ายๆห้องพระของคนไทยเราเนี้ยแหละ แต่จะเต็มไปด้วยพระจีนและเครื่องรางคนจีนต่างๆ ที่เราไม่รู้จัก อาม่ายกน้ำยกขนมมาให้พวกเรา ต้อนรับอย่างดี เหมือนเรามาเยี่ยมมากกว่ามาธุระยังไงยังงั้น อาม่าถามไถ่เรื่องทั่วๆไป ก่อนจะวกเข้าสู่เรื่องที่เราต้องการมาหาอาม่าในวันนี้

“เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ” อาม่าพูดเมื่อเราเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนจบลง เราได้แต่พยักหน้าด้วยความหนักใจ

“จะเอาอะไรจากพี่เขาหนักหนาอะเรา” ทุกคนนน ยายไม่ได้พูดกับเราค่ะ แต่กลับไปมองไปข้างๆเรา ที่มันเป็นพื้นที่ว่างซะงั้น เรารีบถอยห่างไปชิดเพื่อนทันที หน้าชาตัวชาวาบ บอกตามตรงว่ายังไม่ชิน

“ยากหน่อยนะหนู เพราะเป็นเด็กทารก เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง เราก็ฟังเขาไม่รู้เรื่อง”

“แล้วเพื่อนหนูต้องเจออะไรไปแบบนี้จนกว่าเด็กคนนี้โตเหรอคะ” เพื่อนคนแรกของเราถามขึ้นมา อาจจะดุเป็นคำถามกวนๆนะคะ แต่ถ้าคิดดูดีๆก็จริงของมันนะ อาม่าเงียบไปสักครู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดลิ้นชัก หยิบผ้าสีแดงออกมา คล้ายๆยันต์ เต็มไปด้วยภาษาจีน

“เอาอันนี้ติดตัวไว้ก่อนนะหนู อาม่าของเวลาคิดหาวิธีช่วยสักสี่ห้าวัน ระหว่างนี้ถ้าเจออะไร ก็เอายันต์อันนี้ติดตัวไว้ จะนอนก็เอาไว้ใต้หมอนนะ ไปไหนก็ใส่กระเป๋าตังค์หรือกระเป๋าเสื้อไว้ อย่าให้หายล่ะ” เรารับผ้ายันต์ผืนนั้นมาถือไว้ พยักหน้ารับรู้

วันนั้นเรานั่งคุยกันต่อกับอาม่าอีกประมาณชั่วโมง ก่อนจะขอตัวกลับ โดยอาม่าบอกว่า ให้เราบอกเรื่องที่มาเจออาม่ากับแม่ด้วย เพราะแม่จะเกี่ยวข้องเรื่องช่วยเรา และยังบอกอีกว่าช่วงนี้จิตเราอ่อนมากๆ ให้นั่งสมาธิเยอะ พยายามมีสติ เพราะปกติเราเป็นคนจิตแข็ง (ซึ่งเรารู้ตัวดี เพราะปกติเราไม่เคยพบเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย)

คืนนั้นเราก็ดำเนินชีวิตในช่วงกลางคืนไปตามปกติ ก่อนนอนก็ไม่ลืมที่จะเอาผ้ายันต์ผืนนั้นไว้ใต้หมอน แล้วนอนเล่นโทรศัพท์ต่อ ปรากฎว่าคืนนั้น เสียงหัวเราะหายไป ไม่มีอะไรมารบกวนเลยค่ะ นอนเล่นโทรศัพท์ คุยโทรศัพท์กับเพื่อนแบบสบายใจมากก เกือบตีสามก็เข้านอน แต่ ไม่มาด้วยเสียง ก็มาด้วยฝันจ้า คิดถึงและรักพี่มากเลยสิน้าเด็กน้อยยยยยย

ฝันก็แบบเดิมเลยค่ะ เราอยู่ตรงปากบ่อ ก้มมองเด็กคนนั้นที่ร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาณ เราตะโกนเรียกไปด้วยร้องไห้ไปด้วย แล้วเราก็สะดุ้งตื่น จับหน้าดูคือเราร้องไห้จริงๆอีกแล้วค่ะ ตอนนั้นดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์คือ ตีห้าจะหกโมงเช้า สายโฟนยังคาสายอยู่แต่คนในสายน่าจะหลับกันหมดแล้ว

ตอนเช้าเราตื่นมาด้วยสภาพคนนอนไม่พอ แต่คือนึกออกมั้ย นอนก็เหมือนไม่ได้นอน เครียดอีก คิดมาก ว้อยยย สภาพอย่างกับซ้อมบี้ พอแม่เห็นหน้าเราก็ทำสีหน้าหนักใจแบบเป็นห่วง เราเลยต้องฝืนยิ้มให้รู้ว่ายังไหวๆ ทั้งที่ในใจคือไม่ไหวแล้วแม่จ๋า

เช้านั้นเราไปวัดกับแม่ค่ะ ไปหาหลวงตา ถวายสังฆทานทำบุญให้เด็กคนนั้น ก่อนจะรดน้ำมนต์ แล้วแม่ก็ปรึกษาหลวงตาเรื่องที่เจอ คำตอบคือ “ยังทำอะไรไม่ได้” เราได้แต่กลับมานั่งถอนหายใจอยู่ที่บ้าน เลยนึกขึ้นได้เรื่องอาม่า รีบเล่าให้แม่ฟัง แม่ดีใจมาก เหมือนเห็นแสงไฟแห่งความหวังอีกครั้ง ก่อนจะขอดูผ้ายันต์แล้วกำชับให้เราเก็บไว้ดีๆ

ทุกคนเชื่อมั้ย ช่วงที่เรามียันต์ติดตัว เราไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะ หรือ อะไรก็ตามเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเลย นอกจากฝันที่เหมือนจริง แล้วละเมอร้องไห้ (แต่ยังโฟนกับเพื่อนเหมือนเดิม ทุกคนขอร้องให้โฟน เพื่อนดีมากจริงงง ซึ้งงงงง)

จนผ่านไปเกือบสัปดาห์ อาม่าโทรมา เรารีบรับสายทันที

“หนูลูก มาหาอาม่าได้มั้ย”

“วันไหนคะ”

“เป็นไปได้ก็พรุ่งนี้เลยลูก ม่ารู้วิธีที่พอจะช่วยหนูได้แล้ว”

บอกตามตรงตอนได้ยินคำนั้น ความรู้สึกเหมือนเรามีหวังเพิ่มขึ้นแล้ว และเรารู้สึกว่าอาม่าต้องช่วยเราให้พ้นจากเรื่องนี้ได้แน่ๆ เรารีบตกลงที่จะไปหาอาม่าในวันพรุ่งนี้ทันที โดยอาม่าย้ำว่าให้พาแม่ไปด้วยกัน

รุ่งเช้าเรากับแม่รีบบึ่งรถไปบ้านอาม่าแต่เช้ากันเลยค่ะ พอไปถึงอาม่านั่งดื่มกาแฟรออยู่หน้าบ้านแล้ว (เช้าแค่ไหนลองคิดดู ฮ่าๆ) พอพวกเราลงจากรถรอยยิ้มใจดีจากอาม่าก็ส่งตรงมาต้อนรับก่อนเลย

“อาม่าดูใจดีเนอะลูก” แม่พูดกับเรา ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าของบ้าน

“พายันต์อันนั้นมารึเปล่า” อาม่าเอ่ยถามขึ้น เราพยักหน้าก่อนจะหยิบออกมา

“เอามาไว้ที่ม่าก่อน” เราเลยส่งให้อาม่าแบบงงๆ

“วันนี้เขาไม่ได้มานะ หนูพกยันต์เขาตามไปไหนมาไหนไม่ได้” เราทำหน้างงๆ

“ถึงว่าช่วงนี้หายไปเลย ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแค่ตามมาให้ฝัน”

“วิธีแก้ ถ้าเอาแบบไม่จริงจังก็แค่พกผ้ายันต์ แต่อาม่ากลัวว่ามันช่วยได้ไม่ตลอด เลยต้องมีวิธีที่เด็ดขาดกว่านี้”

เรามองหน้าแม่ ก่อนจะพยักหน้าให้อาม่า ใช่แหละ เราต้องการความปกติเหมือนเดิมในชีวิต มันต้องเด็ดขาด

วิธีของอาม่าคือต้องไปที่สถานที่เกิดเหตุ ต้องมีเจ้าของที่ อย่างน้อยก็หนึ่งคน ถึงจะเริ่มแก้ไขกันได้ และช่วงก่อนทำพิธีเราต้องไม่พกผ้ายันต์เลย ก็คือ ทำพิธีวันอาทิตย์ แต่วันที่เราไปเจออาม่ายังเป็นวันพุธอยู่เลย และการไม่พกผ้ายันต์เหตุการณ์เดิมมันก็จะกลับมาถูกมั้ยคะ แล้วมันตั้งอีกสี่วันแถมอาม่ายังทิ้งท้ายให้เรากลัวอีกว่า

“ครั้งนี้อาจจะรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา เพราะดูท่าทางเขาโกรธมากที่หนูกันเขา” ทุกโค้นนนน คือที่เจอมาก่อนหน้าสำหรับเราคือหนักละนะ หนักกว่านี้คือเป็นบ้าเลยเด้อออ พอกลับมาตอนเย็น เรารู้ว่ายังไงเราก็ไม่โอเคกับการต้องนอนคนเดียวแล้วแน่ๆ และเหมือนแม่จะรู้ด้วย เลยอนุญาติและแนะนำให้เราพาเพื่อนมานอนด้วยกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนทุกคนที่อยู่แค่ในสายโฟน จะได้ออกจากโทรศัพท์มาทำหน้าที่มายเฟรนด์ที่แสนดีให้กับทางเรา (ไม่ใช่เพื่อนสองคนที่ไปหาอาม่ากับเรานะคะคนละกลุ่มกัน)

เราโทรชวนเพื่อนมานอนด้วยกัน และการดีลกันครั้งนี้ได้เพื่อนที่โชคดี? มาถึงสี่คน (ยินดีกับ เพื่อนอีกสามคนที่ติดสอบค่ะ ฮ่าๆ)

ชายสองหญิงสาม รวมเราด้วยคืนนั้นก็นอนกันห้าคน ที่นอนไม่พอก็ปูผ้านอนกันค่ะ เนี้ยย เพื่อนที่แสนดี

คืนนั้นเราก็นอนคุยกันเรื่อยๆ เล่นเกมส์บ้าง ทำโน่นนี่กัน จนเลยเวลาเที่ยงคืน จู่ๆเราก็เผลอหลับ

คืนที่สอง เพื่อนกลุ่มนี้ยังคงนอนกับเราเหมือนเดิม คืนนั้น พวกเราเปิดซีรี่ส์ดูกัน ระหว่างที่พวกเรากำลังโฟกัสกับการดูซีรี่ส์ จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงร้องไห้อีกแล้วค่ะ เราเลยสะกิดเพื่อนข้างๆให้รู้ ก่อนจะขยับเขาไปใกล้ๆเพื่อนที่อยู่ข้างๆ พวกเราทำเป็นไม่สนใจเสียงรบกวนนั้น สักพักก็เงียบไปค่ะ กว่าซีรี่ส์จะจบก็เกือบเที่ยงคืน พวกเรานอนเล่นโทรศัพท์กันต่อ เพราะยังไม่ง่วง ไม่นานเราก็เผลอหลับไป แล้วก็ฝันค่ะ เป็นฝันที่เหมือนจริงเอามากๆ ในฝันที่เราจำได้คือ

เด็กคนนั้น กำลังโดนผู้หญิงแก่ๆ คนนึง เอาเชือกสีดำรัดคอ ดิ้นทุรนทุราย การกระทำของผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนโกรธแค้นอะไรสักอย่าง และตั้งใจจะทำให้ตาย สภาพเด็กคนนั้นดูน่าสงสารมากจริงๆค่ะ เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจ สายตาของเด็กคนนั้นมองมาทางเรา เหมือนอยากให้ช่วย แต่เรากลับทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากยืนมองแล้วร้องไห้ ตะโกนให้ผู้หญิงคนนั้นหยุด แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะเขาไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าเรายืนมองอยู่ ความฝันที่เหมือนจริงของเราคืนนั้นจบลง เมื่อเพื่อนเขย่าตัวเราให้ตื่น เราตื่นขึ้นมาด้วยอาการหวาดผวา ตกใจกลัว สองแก้มเต็มไปด้วยน้ำตา และคืนนั้นก็เหมือนเดิมค่ะ ไม่ได้นอนเพราะไม่มีใครกล้านอนกันเลยสักคน

ตอนเช้า เราถามเพื่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเราหลับ แล้วทำไมเพื่อนเขย่าตัวเราให้ตื่น เราเป็นอะไร เพื่อนผู้หญิงเลยเล่าให้ฟังค่ะว่า ในระหว่างที่เราหลับนั้น จู่ๆเราก็ดิ้น ตอนแรกไม่ได้ดิ้นแรง เหมือนกำลังฝัน แล้วหงุดหงิดก็เลยละเมอดิ้น แต่พอสักพัก เรากลับร้องไห้แล้วดิ้นแรงขึ้น แถมยังตะโกนวายวายว่าอย่าทำเขาๆ ทุกคนตกใจมาก พยายามจับตัวเราเพื่อจะปลุก แต่ยิ่งเขย่าเราก็ยิ่งดิ้น กว่าที่จะปลุกจนเราได้สติเล่นเอาเหนื่อยเลย พอได้ฟังเราก็แอบสงสารเพื่อนนะ ที่ต้องมาทนเจออะไรแบบนี้

เราเลยเล่าเรื่องความฝันให้เพื่อนเราฟังรวมทั้งแม่ด้วย เรายอมรับกับเพื่อนเลยว่าเราไม่ไหวแล้ว เราไม่โอเคกับการรบกวนแบบนี้ อยากให้มันจบสักที สำหรับบ้างคนคิดว่ามันอาจจะไม่ได้หนักหนาอะไร ก็แค่ฝันแล้วก็ละเมอแค่นั้น แต่ทุกคนค่ะ การที่ได้หลับแล้วต้องฝันแบบนั้น ก่อนจะต้องตื่นมากลางคันแบบ มันเหนื่อยนะ จะหลับก็หลับได้ไม่เต็มที ก่อนนอนก็ต้องเครียดว่าคืนนี้จะเจอกับอะไร ช่วงเวลากลางคืนที่เป็นเวลาดีๆสำหรับเรา มันต้องมาเป็นอะไรแย่ๆแบบนี้เหรอ ช่วงนั้น เพื่อนๆกับเรานอนกลางวันกันทั้งวัน เพื่อเก็บพลังไว้ต่อสู้กับเรื่องบ้าๆในช่วงกลางคืน สภาพทุกคนคือเบลอกันหนักมาก

คืนที่สาม เวลาประมาณสี่ทุ่ม เพื่อนเราเล่นเกมส์ ส่วนเรานอนดูยูทูป ก่อนจะรู้สึกว่าที่นอนข้างๆใกล้ๆกับหมอน มันสะเทือนเหมือนมีใครากระทืบ ตอนนั้นเราใส่หูฟังและโฟกัสกับยูทูป เลยคิดว่าเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นคนทำ “เมิงอย่าเล่นดิ กูไม่มีสมาธิ” แต่อาการสะเทือนก็ยังไม่หยุด เราเลยหันไปจะด่า แต่สิ่งที่เห็นคือไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นเด็กคนนั้นค่ะทุกคน เด็กจริงๆมาเป็นตัวเป็นตนเลยคราวนี้ สภาพคือยังมีเลือดเต็มตัว มีคราบน้ำดำๆตามตัว น่ากลัวมากกกกกก เรากรี๊ดลั่นบ้าน กรี๊ดจนเสียสติ ก่อนจะรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปนอกห้อง

เหตุการณ์ต่อจากนี้เพื่อนมาเล่าให้ฟังหลังจากเราสงบและเล่าตอนเช้า เพราะตอนนั้นเราไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำอะไร พื่อนบอกว่า จู่ๆ เราก็กรี๊ดและวิ่งออกไปนอกห้อง ทุกคนตกใจกับสิ่งที่เราเป็นก่อนจะรีบวิ่งตามออกไป เราวิ่งไปมุดตัวอยู่ข้างๆทีวี ตัวสั่น ร้องไห้ ปากก็บอกว่า ออกไปอย่ามายุ่งกับกุ ออกไป เหมือนไล่อะไรสักอย่าง เพื่อนพยายามถามและเรียกเราก็ไม่ได้สนใจ จนแม่ออกมาจากห้องและเข้าไปกอด บอกให้เราใจเย็น นั่นแหละ ทุกอย่างถึงกลับมาสงบและปกติ เราฟังแล้วก็อึ้งๆไปเหมือนกันค่ะ สภาพเราตอนนั้นคงเหมือนคนบ้า

คืนนั้น แม่เป็นคนพาเราเข้านอนและอยู่เป็นเพื่อนจนเราหลับ ตอนเช้าเราเล่าให้เพื่อนกับแม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนต่างขนลุกและกลัวไปตามๆกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่สองที่เราเจอจะๆแบบนี้ และดูจะมากกว่าครั้งแรก เพราะตอนนั้น มาในสภาพดีกว่านี้ แต่ครั้งนี้มันเละมากจนน่ากลัว

ส่วนคืนสุดท้ายเรารวบรัดเลยนะคะ เพราะเหมือนคืนที่สองทุกอย่างเลย ใครนึกภาพไม่ออกอ่านย้อนไปวันที่สองเลยค่ะ เพราะเหตุการณ์เหมือนคืนนั้นเป๊ะๆ สรุปแล้วสี่คืนนั้น เราไม่ได้นอนกันเลยค่ะ โหดมากกกก โชคดีที่ไม่มาให้หลอนตอนกลางวันบ้าง เลยยังพอมีเวลาพักผ่อนกัน

รุ่งเช้าวันอาทิตย์เพื่อนผู้ชายกับแม่เป็นคนไปรับอาม่า เพราะเราต้องเตรียมของต่างๆ พอถึงเวลาทำพิธี คนที่รู้เรื่องก็มากันเยอะเหมือนเดิม ทุกคนมุ่งมาถามเรากันด้วยความอยากรู้กับเป็นห่วง บางคนก็เคยสงสัยมาบ้าง เพราะช่วงนั้นเวลาเจอเรา จะเจอในสภาพเบลอๆ ไม่สดใสเหมือนเคย เราเลี่ยงที่จะไม่เล่าอะไรไปมากนัก เพราะไม่อยากจะเล่าให้ใครฟัง ให้มันจบๆตายๆไปจะดีกว่า เล่าไปหนึ่งคนบอกต่ออีกเป็นสิบ และเรื่องราวอาจจะบิดเบือนไปตามคนเล่า เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก

อาม่ามาถึงก็เดินไปตรงบ่อน้ำ ก่อนจะชะโงกหน้ามองลงไปในบ่อ

“ไม่เคยกลับลงมาอยู่ที่นี่เลย” อาม่าพูดขึ้นมาลอยๆ ก็น่าจะหมายถึงเด็กคนนั้นแหละค่ะ

“เจ้าของบ่อเคยเจอแบบนังหนูด้วยใช่มั้ยล่ะ แต่นังหนูมันหนักกว่า” อาม่าหันไปคุยกับครอบครัวของเจ้าของบ่อน้ำ อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะเล่าว่าเจอแค่ช่วงแรกๆ หลังก็ไม่เจอแล้ว อาม่าฟังเสร็จก็เริ่มทำพิธี ด้วยการนำผ้ายันต์พื้นใหญ่แบบคลุมปากบ่อได้ทั้งหมดมาคลุมปากบ่อไว้ ก่อนจะท่องอะไรสักอย่าง ไม่ออกเสียง สักพักก็กวักมือเราเข้าไปยืนใกล้ๆ

“ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ จะมายุ่งกับเขาทำไม” มีเพียงแค่ความเงียบกลับมา ประมาณนาทีอาม่าก็พูดต่อ เหมือนสนทนาโต้ตอบกับใครอยู่สองคน

“จะให้เขาช่วยอะไร แล้วจะให้ช่วยทำไมต้องมาทำเขาวุ่นวายแบบนี้”

“ปล่อยเขาไป แล้วไปผุดไปเกิดหรือไปเอาผิดกับคนที่ทำเธอจริงๆซะ” บทสนทนาของอาม่าหลังเริ่มมีน้ำโห เหมือนกำลังทะเลาะกับเด็กคนนั้นแล้วค่ะ เดาว่าอีกฝ่ายไม่ยอมฟังแน่ บรรยากาศตอนนั้น ทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกันเงียบ เพื่อจะรอฟัง อาม่าเคลียร์กับเด้กคนนั้นเกือบชั่วโมง กว่าจะลงรอยกันได้

“ที่เขามายุ่งกับหนู เพราะคนที่เอามาทิ้งบอก อย่ากลับไปยุ่งเกี่ยวกับอีกไม่งั้นจะแช่งไม่ให้ไปผุดไปเกิด วนเวียนอยู่แต่ในนี้ และหนูรู้มั้ยเด็กคนนี้ไม่ได้โดนทำแท้งมานะ” อาม่าเว้นจังหวะการพูด ก่อนจะทำสีหน้าเวทนา

“แต่คลอดออกมา ก่อนจะโดยรัดคอจนขาดอากาศหายใจแล้วก็ตาย จากนั้นก็เอาศพมาทิ้งในบ่อนี่แหละ วิญญาณเขาแค้นมากนะ แต่กลับไปทำอะไรคนทำไม่ได้ เลยมาหาหนูให้หนูช่วย”

“แล้วตอนนี้เขาไปไหนแล้วครับอาม่า” เพื่อนเราถามขึ้น

“เขาไปแล้ว แต่ไปไหน เดี๋ยวไม่นานทุกคนก็รู้กัน คนทำมันไม่รอดหรอก ชีวิตมันต้องแลกด้วยชีวิตกันแล้วแหละ” อาม่าพูดเสร็จก็เข้ามากอดเรา

พิธีวันนั้นเสร็จสิ้นลงด้วยความเรียบร้อย ที่ง่ายแบบนี้อาม่าบอกเพราะเราไม่เคยทำร้ายอะไรเขา ไม่ว่าจะแช่งหรือด่า หรือหาวิธีขับไล่เขาด้วยความรุนแรงให้วิญญาณเขาทรมานกว่าเดิม ซึ่งนับว่าโชคดีที่เรายังมีสติแม้จะอยากแช่งไปสักกี่ครั้งก็ยังยั้งปากไว้ได้

คืนนั้นเป็นคืนแรกที่เรากับเพื่อนได้นอนกันทั้งคืน ความสงบของเราได้คืนกลับมาแล้ววววววว และไม่ใช่แค่คืนนั้น หลังจากนั้นชีวิตเราก็สงบและกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม กินอิ่ม นอนหลับ สภาพจิตดีขึ้น มีระแวงบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เรายังมั่นทำบุญให้เด็กคนนี้เสมอๆ ส่วนที่อาม่าบอกว่า เด็กคนนี้ไปไหน ไปไหนได้ล่ะ ก็ไปหาคนทำนั้นแหละ เพราะหลังจากวันนั้น เราก็ได้เจอบีม ที่เมื่อก่อนยังสวยยยยมากกกก (มั้ง) หน้าตาสดใส แต่พักหลังๆดูหมองๆลง ผอมเวอร์ ผอมแบบไม่ได้หุ่นดี แต่ผอมแบบโทรมๆ อ่ะ แต่นางอาจจะไม่สบายก็ได้เนอะ อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ด๊ายยยยยย

ปล. เราคิดว่าตอนนี้คนทำคงได้รับกรรมแล้วล่ะค่ะ จะได้รับถึงขั้นไหนนั้นต้องมาดูกันอีกที เรื่องทั้งหมดจบลงตรงนี้แหละค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อาจจะไม่หลอนจนสุด เล่าไม่เก่งยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ ย้ำว่าเรื่องจริงเด้ออ ตอนนี้เราใช้ชีวิตสงบสุขดีค่า ฮ่าๆ

ขอบคุณอาม่าด้วยนะคะที่เข้ามาช่วย ม่ามีบุญคุณกับเรามากจริงๆ (ทุกวันนี้เรายังแวะไปเยี่ยมเยียนม่าอยู่เรื่อยๆ) ขอบคุณแม่ที่คอยดูแลเป็นห่วงและอยู่ข้างๆลูกคนนี้ ละตอนนี้แม่ก็สบายใจแล้ว เย้ สุดท้ายขาดไม่ได้เลยยยยยยยยยย มายเฟรนด์ของชั้นนน เจ้แบม เบลล์ ริน บีม เจ้แอล เจ้อ้อน พู่ (ไม่ใช่นังนั่นนะคะ บีมนี้ดีๆ5555) เบส เจ เฮียแบงค์ อ๊อฟ ไทม์ โอม เฟรม พีท ขอบคุณสี่คนนั้นที่มานอนเป็นเพื่อน มาเจอเรื่องแย่ๆด้วยกัน ขอบคุณที่โฟนสายเป็นเพื่อนกันทั้งคืนด้วย ซึ้งมากกกกรักมากกกก ถ้าพวกแกมาเห็น จะบอกว่าชั้นขอบคุณมากจริงๆ ไว้ไปเลี้ยงหมูทะนะ

สุดท้าย คนเราทำอะไรก็ได้รับอย่างนั้นแหละค่ะ ทำลายชีวิตใครไว้ สักวันผลตอบแทนก็คือชีวิตคุณอาจจะถูกทำลายเหมือนกัน เราทำอะไรคุณไม่ได้ในวันนี้ แต่เราเชื่อเสมอว่าผลกรรมของคุณจะทำอะไรคุณแทนเราได้

ขอบคุณเรื่องหลอน ๆ จากพันทิป

Previous articleหอพัก ณ วัดพระศรี
Next articleยุติการเผยแพร่